วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตีเหล็กตอนร้อน

12 ธันวาคม 2014
“ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร” คิดค้นเครื่องมือ และลงมือทำสำรวจ ออกแบบการวิจัย หลายสมัย หลายประเด็น บางส่วนมีดัชนีที่ดีขึ้น แต่ยังมียอดปิรามิด ที่กฏหมายเอื้อมไปไม่ถึง

ข้อเสนอตีเหล็กตอนร้อน ในวาระที่มีรัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษ ควรออกกฏเหล็ก ใช้กฏหมายที่เป็นยาแรง มีฐานความผิด ที่ครอบคลุมถึงข้าราชการระดับสูงซึ่งร่ำรวยผิดปกติ แบบไม่มีที่มา-ที่ไปของทรัพย์สิน เหมือนกับกฏหมายการปราบคอร์รัปชันของเขตปกครองพิเศษเกาะฮ่องกง ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ในปี 2520

“กฎหมายแรงๆ ขนาดนี้ก็คงจะต้องมีกระบวนการ อาจจะต้องมีการศึกษาวิจัยให้ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง แล้วดูว่า หากจะมาปรับใช้ในเมืองไทยจะปรับอย่างไร เพราะว่าระบบกฎหมายวัฒนธรรมวิธีคิดของเราก็ไม่เหมือนกับที่ฮ่องกง แล้วมันก็มีความจำเป็นที่กฎหมายจะใช้ได้ผลนั้นต้องผ่านกระบวนการ ที่ให้ประชนได้รับรู้ แล้วก็ คือ มีการปรึษาหารือด้วยกันด้วยว่าเห็นด้วยไหม เพื่อที่จะให้มันออกมาประสบความสำเร็จ”

และไม่เพียงตำรวจเท่านั้นที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย แต่ครอบคลุมถึง ข้าราชการพลเรือนด้วย

อ่านเพิ่ม
http://thaipublica.org/2014/12/pasuk-phongpaichit-2/

กระแสเงินทุนผิดกฎหมาย ประเทศไทย อันดับ 7 : 35,560 ล้านดอลลาร์

โกลบอล ไฟแนนเชียล อินทิกริตี้
องค์กรเพื่อการต่อต้านการฟอกเงินและกระแสเงินทุนผิดกฎหมาย หรือ จีไอเอฟไอ เปิดเผยรายงานทิศทางกระแสเงินผิดกฎหมายที่หมุนเวียนอยู่ทั่วโลกประจำปี 2555 ระบุว่า มีเงินผิดกฎหมายไหลออกจากประ เทศกำลังพัฒนาถึง 9.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 5% จากปี 2554 และจากตัวเลขล่าสุดในปี 2555 ทำให้ยอดรวมเงินไหลออกจากชาติกำลังพัฒนาและกลุ่มตลาดเกิดใหม่รวม 151 ประเทศช่วงปี 2546-2555 รวมสูงถึง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 215
ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ยแล้วมีเงินไหลออกเพิ่มขึ้น 9.4% ในแต่ละปีในช่วง 10 ปีนี้ หรือสูงถึงเกือบสองเท่าของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงเดียวกัน เงินผิดกฎหมายที่ไหลออกปริมาณมากที่สุดมาจากชาติกำลังพัฒนารายใหญ่ เช่น บราซิล จีน อินเดีย และรัสเซีย

ทั้งนี้ 10 อันดับแรกที่มีเงินไหลออกมากที่สุดในปี 2555 มีดังนี้

1. จีน 2.5 แสนล้านดอลลาร์

2. รัสเซีย 1.2 แสนล้านดอลลาร์

3. อินเดีย 94,760 ล้านดอลลาร์

4. เม็กซิโก 59,660 ล้านดอลลาร์

5. มาเลเซีย 48,930 ล้านดอลลาร์

6. ซาอุดิอาระเบีย 46,530 ล้านดอลลาร์

7. ไทย 35,560 ล้านดอลลาร์

8. บราซิล 33,930 ล้านดอลลาร์

9. แอฟริกาใต้ 29,130 ล้านดอลลร์

10. คอสตาริก้า 21,550 ล้านดอลลาร์

สำหรับเงินที่ไหลออกส่วนใหญ่ที่สุดเป็นเงินที่เกิดจากการแจ้งมูลค่าส่งออกหรือนำเข้าไม่ตรงกับความจริงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีหรือโอนเงินไปซุกซ่อนนอกประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นเงินจากคอร์รัปชั่นและการฟอกเงิน จีเอฟไอเรียกร้องให้ประเทศต่างๆและสหประชาชาติเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อลดจำนวจคน
ยากจนและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ

.......................................................................
http://www.msn.com/th-th/news/international-friendlies/ไทย-ติดอันดับ-7-เงินผิดกฏหมายไหลออกนอกประเทศ/vi-BBgRbTT?refvid=BB8g60G

http://news.ch7.com/detail/100108/ไทยรั้งอันดับ_7_เงินผิดกฎหมายไหลออกนอกประเทศ.html

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/foreign/20131212/549340/唰怨荚础烈裸够眯喾取优学狙补亦驹枇⒅楣.html

เคยตัวกับการเอาเปรียบประชาชน

น้ำมันลง มันบ้ามาขอขึ้นราคา
........................

รถร่วมฯ ขู่หยุดวิ่งให้บริการ หากคมนาคมไม่อนุมัติขึ้นค่าโดยสาร
11 ธันวาคม 2557 19:41 น.
นายวิทยา เปรมจิตร์ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการเอกชน เปิดเผยว่า
ที่ผ่านมาเรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อขอปรับขึ้นค่าโดยสารมาโดยตลอด
โดยรถเมล์ร้อนขอเพิ่มค่าโดยสารจาก 8 บาท เป็น 10 บาท
ส่วนรถเมล์ปรับอากาศขอปรับขึ้นอีกระยะทางละ 2 บาท ทั้งนี้
ผู้ประกอบการคาดหวังว่าภายในกลางเดือนมกราคม 2558 รถเมล์ร่วม ขสมก.
จะได้ปรับขึ้นค่าโดยสารตามที่ได้มีการเรียกร้องไว้
แต่หากยังไม่ได้ปรับขึ้นค่าโดยสาร
ทางผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องหยุดให้บริการ เนื่องจากประสบภาวะขาดทุน

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000142608
.............................................

11 เดือนแท็กซี่ถูกร้องเรียน 31,183 รายส่วนใหญ่ปฏิเสธรับผู้โดยสาร

กรมการขนส่งทางบก พักใช้ใบอนุญาตขับรถสาธารณะของผู้ขับรถโดยสารสาธารณะ
ที่กระทำผิดซ้้ำซากไปแล้ว 41 รายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา
เผย11 เดือนของปีงบประมาณ 2557 มีประชาชนร้องเรียนการให้บริการรถแท็กซี่
ผ่าน 1584 กว่า 30,000 ราย ขณะที่ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะตาม พ.ร.บ.ขนส่ง
กว่า 13,000 ราย
ได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงและเปรียบเทียบปรับแล้วกว่าร้อยละ 80

นายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า
ตามที่กรมการขนส่งทางบกได้รับการร้องเรียนการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่
กระทำผิดในข้อหาเดิมซ้ำซากเป็นจำนวนมาก และ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557
ที่ผ่านมา กรมการขนส่งทางบก ได้เริ่มใช้มาตรการพักใช้
เพิกถอนใบอนุญาตขับรถสาธารณะที่กระทาผิดซ้ำซาก ได้แบ่งฐานความผิดออกเป็น 2
กลุ่ม คือ กลุ่มความผิดทั่วไป เช่น ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร,
กิริยาวาจาไม่สุภาพ, ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร
และไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ที่ตกลงกัน หากพบการกระทำผิด ครั้งที่ 1
ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ครั้งที่ 2 ปรับ 1,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับรถ 7
วัน ครั้งที่ 3 ปรับ 1,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับรถ 15 วัน
หากกระทำผิดข้อหาเดียวกันเป็นครั้งที่ 3 ในช่วงระยะเวลา 1
เดือนนับตั้งแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรกจะทำการปรับ 1,000 บาท
และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

สำหรับกลุ่มความผิดร้ายแรง ได้แก่
ผู้ขับรถยนต์สาธารณะหรือรถจักรยานยนต์สาธารณะเสพหรือเมาสุรา
หรือเสพยาเสพติดให้โทษ และเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
รวมทั้งขับรถในขณะหย่อนความสามารถหรือกระทำความผิดทางอาญา
หากพบการกระทำผิดมีโทษตั้งแต่พักใช้จนถึงยกเลิกเพิกถอนใบอนุญาตทันทีนั้น
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา(1 เมษายน- 16 กันยายน 2557) กรมการขนส่งทางบก
ได้พักใช้ใบอนุญาตผู้ขับรถโดยสารสาธารณะ(แท็กซี่)ไปแล้วจำนวน 26
รายกรณีที่กระทำผิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ จำนวน 1 ราย

นายอัฌษไธค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2557 นี้
(เดือนตุลาคม 2556-สิงหาคม 2557) กรมการขนส่งทางบก
ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่ใช้บริการรถแท็กซี่
ผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584 จำนวน 31,183 ราย
ความผิดส่วนใหญ่ ได้แก่การปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร จำนวน 11,340 ราย
แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ จำนวน 4,304 ราย ขับรถประมาทน่าหวาดเสียว จำนวน
3,641 ราย ไม่ใช้มาตร ค่าโดยสาร จำนวน 2,217 ราย และ
พาผู้โดยสารไปตามเส้นทางที่อ้อมเกินควร จำนวน 1,534 ราย
ซึ่งความผิดทั้งหมดดังกล่าว มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทซึ่ง
กรมการขนส่งทางบกได้เรียกตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวนข้อเท็จจริงและเปรียบเทียบ
ปรับแล้ว จำนวน 24,436 ราย หรือ คิดเป็นร้อยละ 78.36
ที่เหลืออยู่ระหว่างเรียกตัวมาสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อเปรียบเทียบปรับต่อไป

สำหรับการร้องเรียนรถตามกฎหมายว่าด้วย การขนส่งทางบก มีจำนวน 13,676 ราย
ความผิดส่วนใหญ่ คือ ขับรถประมาทหวาดเสียว จานวน 4,622 ราย
ไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทาง จำนวน 2,178 ราย
แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ จำนวน 1,988 ราย ให้ผู้โดยสารลงก่อนถึงจุดหมาย
จำนวน 677 ราย และ เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด จำนวน 527 ราย ทั้งนี้
กรมการขนส่งทางบกได้เรียกตัวผู้กระท้าผิดมาสอบสวนข้อเท็จจริงและเปรียบเทียบ
ปรับแล้ว 10,966ราย หรือ คิดเป็นร้อยละ 80.18
ที่เหลืออยู่ระหว่างเรียกตัวมาสอบสวนความผิดเพื่อเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย
โดยการกระทำผิดดังกล่าว นอกจากผู้ขับรถถูกเปรียบเทียบปรับแล้ว
กรมการขนส่งทางบกยังน้าข้อมูลมาพิจารณาในการต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=247559%3A-1131183&catid=176%3A2009-06-25-09-26-02&Itemid=524#.VJPz_VMGB
............................................

คาดได้ข้อสรุปขึ้นค่าโดยสารรถร่วม บขส. 23 ธ.ค.นี้

วันนี้ (18 ธ.ค.2557)
มีการประชุมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกับผู้ประกอบการรถร่วมบริการ
บขส. ซึ่งนายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร ยืนยันค่าบริการคงเดิม
โดยอ้างว่าช่วงที่น้ำมันขึ้นผู้ประกอบการก็ไม่เคยได้ขึ้นราคาเช่นกัน

นางสุจินดา เชิดชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร
เป็นตัวแทนเข้าหารือกับกระทรวงคมนาคมในวันนี้ (18 ธ.ค.2557)
หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมรับทราบปัญหาของผู้ประกอบการ
ที่ต้องแบกรับต้นทุนจากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
และได้รับผลกระทบจากการแย่งผู้โดยสารของสายการบินต้นทุนต่ำ
หรือโลว์คอสต์แอร์ไลน์ ที่ลดราคาจนเท่าราคาตั๋วรถ บขส.

โดยนางสุจินดา ยืนยันว่า ยังไม่ปรับขึ้นค่าโดยสาร
แต่ต้องการให้กระทรวงคมนาคมช่วยเหลือในเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการรถร่วม
บริการ บขส. ด้วย โดยเฉพาะการขอลดค่าเที่ยววิ่ง ลดค่าประกันภัย
และยกเว้นค่าปรับกรณีมีการยุบรวมเที่ยววิ่ง

หลังจากนี้ผู้ประกอบการรถโดยสารต้องนำส่งข้อมูลต้นทุน
และการดำเนินการกับกรมการขนส่งทางบก และในวันที่ 23 ธ.ค.2557
กระทรวงคมนาคมคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการปรับขึ้นค่าโดยสา

http://news.thaipbs.or.th/content/คาดได้ข้อสรุปขึ้นค่าโดยสารรถร่วม-บขส-23-ธคนี้

ใช่เวลาเป็นเครื่องมือ

วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุม โดยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ด้วยประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหนังสือมาถึงสภา 2 ฉบับ 1. รายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีขอให้ถอดถอนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง ออกจากตำแหน่ง ซึ่งคำร้องระบุว่ามีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติตามเสียงข้างมากกว่า ยังฟังไม่ได้ว่า นายกิตติรัตน์ ได้จงใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 อันเป็นเหตุถอดถอนออกจากตำแหน่ง และการกระทำของนายกิตติรัตน์ ฟังไม่ได้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ข้อกล่าวหาจึงตกไป

และ 2. กรณีขอให้ถอดถอน ส.ส.ที่ร่วมลงคะแนนเห็นชอบในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผู้ซึ่งกระทำผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ.... วาระที่ 3 จำนวน 310 คนออกจากตำแหน่ง คำร้องระบุว่ามีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ป.ป.ช.พิจารณาคำร้องดังกล่าวแล้วเห็นว่าเป็นคำร้องขอให้ถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาออกจากตำแหน่ง มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เพียงประการเดียว ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 สิ้นสุดลงแล้วจึงไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เป็นมูลฐานของการพิจารณาซึ่งจะนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่งของกระบวนการ ป.ป.ช.จึงไม่มีเหตุที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงคำร้องขอให้ถอดถอนต่อไป ที่ประชุมจึงมีมติให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ

http://www.fahwonmai.tv/politics/1212793

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ค้านเลือกนายก

วัน ที่ 16 ธ.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอของ กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช.ที่มีนายสมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ เสนอให้มีการเลือกตั้งนายกและครม.โดยตรงว่า คิดว่า กมธ.ชุดนี้ตีโจทย์ปัญหาการเมืองของชาติไม่ตรงเป้า เพราะปัญหาการเมืองของประเทศเกิดจาก

1. รัฐบาลใช้อำนาจมากเกินขอบเขต แบ่งแยกประชาชนและไม่ยอมรับการตรวจสอบคือ ผิดไม่ยอมรับผิด ขาดจริยธรรมทางการเมือง เมื่อมีปัญหาจะชอบอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง
ดังนั้นถ้ามีการเลือกนายกและครม.โดยตรง รัฐบาลจะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ถ้าไปเจอรัฐบาลแบบเดิม ปัญหาจะหนักกว่าเดิม

2.การตรวจสอบ ถ่วงดุลฝ่ายบริหารช้าเกินไป ต้องลดการแทรกแซงองค์กรตรวจสอบ ให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญแยกเด็ดขาดจากรัฐบาล โดยเฉพาะการที่รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้ไปรับตำแหน่งกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจ แม้จะการเลือกนายกฯและครม.โดยตรงไม่ได้แก้ปัญหานี้ยันแม้เลือกตรงก็ไม่ลด
ซื้อเสียง แนะใช้ชื่อแทนเบอร์

3.ปัญหาการทุจริตหลักอยู่ที่รัฐบาลและการกำหนดนโยบายเพื่อมีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรงของรัฐบาล ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้ในรูปแบบใด การที่ ส.ส.วิ่งเต้นงบฯช่วยตอบสนองประชาชน
ก็ยังเกิดอยู่แม้จะเลือกนายกฯและครม.โดยตรง เพราะเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์

4.การแยกเลือกนายกฯและครม. จะช่วยลดการซื้อเสียงของ ส.ส.ก็ไม่จริง เพราะการแข่งขันทุกระดับ เพื่อไปสู่ชัยชนะล้วนมีการเอื้อประโยชน์ทุกรูปแบบ ถ้าตราบใดที่ประชาชนบางกลุ่มยังไม่มีจิตสำนึก การซื้อเสียงก็ยังเกิดขึ้น ที่ผ่านมา การกำหนดให้ผู้รับสมัครเลือกตั้งใช้หมายเลข เอื้อให้เกิดการซื้อเสียงง่ายขึ้น แต่หากใช้ชื่อ นามสกุลผู้สมัคร รูปถ่ายและชื่อพรรค ตราพรรค จะทำให้การซื้อเสียงยากขึ้น ยิ่งเป็นเขตใหญ่ ใช้ระบบวันแมนวันโหวต จะทำให้ประชาชนสนใจในตัวผู้สมัคร ต้องจำชื่อ
นามสกุลให้ได้ ถ้าอ่านหนังสือไม่ได้ก็ให้จำรูปแทน

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ ถ้าต้องการลดอิทธิพลของเงินทุนในการประชาสัมพันธ์ กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำป้ายรวม โดยผู้สมัครจ่ายเงินรวมตอนสมัคร ห้ามผู้สมัครทำป้ายเอง ให้ผู้สมัครทำได้แค่บัตรแจกแนะนำตัว กำหนดจำนวนรถแห่ป้าย หรือให้มีแค่รถปราศรัยผู้สมัคร ไม่จำกัดการปราศรัย
จะช่วยลดอิทธิพลของเงินทุนได้มาก เพราะการหาเสียงแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องป้ายและรถ แห่จำนวนมาก จะเปิดโอกาสให้คนดี มีชื่อเสียงแต่เงินน้อย ได้เข้ามาเป็น ส.ส. หากใช้ชื่อ สกุล หรือรูปแทนเบอร์ ผู้สมัครก็ต้องทำความดีอย่างมากเพื่อให้ประชาชนจำชื่อ นามสกุลหรือรูปให้ได้ด้วย

http://www.thairath.co.th/content/469368

http://www.fahwonmai.tv/politics/1212774

อย่าหลงประเด็นการปฏิรูป

อย่าหลงประเด็นการปฏิรูป
ปัญหาชาติบ้านเมืองไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้ง
แต่อยู่ที่ความมักมากในอำนาจของนักการเมือง
และอยู่ที่อำนาจของประชาชนในการถ่วงดุลมีน้อยเกินไป
.......
ไม่ว่าจะเลือกตั้งกันอย่างไรก็ไม่เป็นผล ถ้าคนชั่วไปรวมกลุ่มกันเป็นรัฐบาล!

“นิพิฏฐ์”ขวางเลือกตรงนายกฯ

“นิพิฏฐ์”ขวางเลือกตรงนายกฯ

ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงข้อเสนอเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ว่า
หากเรื่องเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงออกมาจากปากคนเสื้อแดง
ป่านนี้บรรยากาศร้อนฉ่าไปทั้งประเทศแล้ว
เพราะการเลือกตั้งผู้บริหารประเทศโดยตรงเหมือนกับการปกครองในระบอบ
ประธานาธิบดี ซึ่งในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จะไม่นำระบอบประธานาธิบดีมาใช้ แต่บังเอิญเรื่องนี้ออกมาจากปากของนายสมบัติ
ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง
และที่แปลกก็คือความคิดออกมาจากที่ประชุมอธิการบดี
เรื่องนี้จึงลดความร้อนแรงลงไป

“ที่แปลกอีกก็คือแกนนำคนเสื้อแดงต่างปิดปากเงียบ
ไม่แสดงความเห็นอะไรในยุคที่บ้านเมืองแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย
คนก็มืดบอดด้วยสติปัญญาอย่างนี้ หากพวกเดียวกันพูดก็ถูกหมด
โดยไม่ต้องดูเหตุผลกัน หากคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกันเพียงพูดก็ผิดแล้ว
เวลาจะเอาระบอบประธานาธิบดีมาใช้
ก็เปลี่ยนเป็นว่านำระบอบเลือกตั้งนายกฯโดยตรงมาใช้ คนก็งง แต่ไม่ค้าน
กลับเห็นดีเห็นงามไปด้วย ใครจะเอาระบอบนี้ก็เอาไป ผมจะค้านจนคนสุดท้าย”
นิพิฏฐ์ กล่าว
..............................................
http://www.ryt9.com/s/nnd/2050918

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000141193

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วรงค์ งง อสส.อ้างมั่วให้ ป.ป.ช.สอบพยานเพิ่มคดีจีทูจี

หมอวรงค์ งง ผมก็ งง เหมือนกันครับ
และก็เชื่อว่า ปปช. ก็คงจะ งง เหมือนกัน
คดีทุจิต จีทูจี กับ คดีละเลยการปฏิบัติหน้าที่
มันเป็นคดีเดียวกันหรือไร?????

วรงค์ งง อสส.อ้างมั่วให้ ป.ป.ช.สอบพยานเพิ่มคดีจีทูจี

ทั้งที่คนละสำนวน คดีละเลยเกิดเสียหาย ลั่น ถึงเวลาตัด สส.จากผลประโยชน์ รับเป็นกรรมการบอร์ดฯ ปิดทางเอื้อจากการเมือง
วันที่ 14 ธ.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก
พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีอัยการสูงสุด (อสส.)
ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเพิ่มเติม เรื่องการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีนั้นว่า ตนติดตามการทำงานร่วมระหว่าง อสส.และ ป.ป.ช.อย่างใกล้ชิด ยิ่งเห็นความขัดแย้งของข้อมูล เพราะล่าสุด ป.ป.ช.ได้ยืนยันจุดยืนเดิมชัดเจน เรื่องขอให้สอบพยานเพิ่มเติมเรื่องการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีว่า มีการซื้อขายจริงหรือไม่ เพราะพยานบางปากยังให้การขัดกัน ทั้งที่ ป.ป.ช. ชี้ชัดว่าเรื่องจีทูจีไม่เกี่ยวกับประเด็นการชี้มูลความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และไม่มีอยู่ในสำนวนด้วย เพราะเป็นเรื่องการไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า
แต่เรื่องจีทูจีอยู่ในสำนวนคดีทุจริตซื้อขายข้าวจีทูจี ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นคนละสำนวนกัน ทาง ป.ป.ช. ชี้แจงสังคมชัดเจนอย่างนี้แล้ว ไม่ทราบว่า อสส.จะว่าอย่างไรต่อกับสังคม
ทั้งนี้ ตนว่าถึงเวลาต้องปฏิรูปกระบวนการเอาผิดนักการเมืองอย่างจริงจังได้แล้ว โดยเฉพาะหน่วยงานอัยการที่เป็นทนายแผ่นดิน ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและปลอดจากการแทรกแซง การปฏิรูปครั้งนี้ จึงไม่ควรให้อัยการรับผลประโยชน์จากฝ่ายบริหาร คือ ไม่ควรให้อัยการไปรับตำแหน่งกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง เพื่อปิดโอกาสการเอื้อประโยชน์เพื่อแทรกแซงจากฝ่ายบริหาร
http://www.thairath.co.th/content/469029

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฟ้อง‘ปู’ ไร้ข้อสรุป

อัยการสูงสุด แถลง ยังไม่สรุปคดีทุจริตจำนำข้าวยิ่งลักษณ์ ยังไม่สมบูรณ์ รอสอบพยานเพิ่ม-สอบขายข้าวจีทูจี
................................................
................................................
ถกฟ้อง‘ปู’ไร้ข้อสรุป อสส.ยื้ออีก
สอบพยานเพิ่ม10ปาก อ้างสำนวนโกงข้าวยังไม่ปึ้ก
ปปช.โวยลั่นทำคดีวนในอ่าง สนช.ไต่สวนถอด2ปธ.27พย.
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ มีการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ครั้งที่ 3 เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีความผิดทางอาญาจากการดำเนินโครงการรับจำนำ ข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปล่อยให้มีการทุจริตในการดำเนินโครงการ สร้างความเสียหายแก่รัฐ
อสส.ยื้อคดีโกงข้าวไร้ข้อสรุป
หลังหารือกว่า 3 ชั่วโมงนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่าย อสส.แถลงว่า การประชุมครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ตกลงกันได้ในบางประเด็น เช่น เรื่องการสอบพยานเพิ่ม ที่ฝ่ายป.ป.ช.รับจะไปไต่สวนเพิ่มเติมให้บางราย เพื่อให้ได้ตามที่อัยการต้องการ ซึ่งความจริงต้องการให้สอบเพิ่มเติมตามที่เสนอไปทั้งหมด คาดว่าน่าจะต้องไต่สวนเพิ่มกว่า 10 ราย ครอบคลุมพยานในส่วนป.ป.ช. และพยานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ขอมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทุกประเด็น
“เราต้องการให้พยานหลักฐานแน่นหนามากขึ้น สำหรับอัยการแล้ว เมื่อมีข้อหาไหนเข้ามาก็ต้องพิจารณาให้หมด การที่ป.ป.ช.บอกว่าไม่เน้นเรื่องทุจริต เอาเรื่องปฎิบัติหน้าที่มิชอบ แต่เมื่อในรายงานพิจารณาคดีของป.ป.ช.ระบุมีการทุจริต จำเป็นต้องทำให้ชัดเจน” นายวุฒิพงศ์ กล่าว
ดักคอปปช.ยังฟ้องเองไม่ได้
และว่า สำหรับขั้นตอนขณะนี้แม้ว่าตัวแทนจากอัยการสูงสุดกับป.ป.ช.ยังไม่สามารถสรุป ความเห็นให้ตรงกันได้ แต่ป.ป.ช.ยังไม่มีอำนาจนำคดีไปส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองได้ เนื่องจากต้องให้อัยการสูงสุดมีความเห็นให้เป็นที่สุดก่อน ซึ่งอัยการฯอาจเห็นไปในแนวทางเดียวกับป.ป.ช.ก็ได้ ถ้าครบถ้วนแล้วจะดำเนินคดี แต่ถ้าอัยการฯชี้ว่ายังต้องสอบพยานเพิ่มหรือต้องหารือบางประเด็น อาจต้องหารือกันอีกครั้ง
ปัดซื้อเวลา-อ้างต้องละเอียด
ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้เวลาพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีนี้นานเป็นการยื้อเวลาหรือไม่ นายวุฒิพงศ์กล่าวว่า ไม่ได้ยื้อและใช้เวลาไม่นาน เพราะกระบวนการยุติธรรมต้องทำให้ละเอียด เพื่อยืนยันว่าทุกคนจะได้รับความเป็นธรรม เพราะการทำเร็วไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดความยุติธรรม เราทำงานทุกวัน
ปปช.โวยทำคดีวนอยู่ในอ่าง
ด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช.กล่าวยอมรับว่า การหารือวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะป.ป.ช.ทำตามที่อสส.ขอมาทั้งหมดไม่ได้ ยังมีปัญหาข้อกฎหมายที่เห็นต่างกันบางส่วน ป.ป.ช. ยืนยันว่าไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่ อสส. ก็บอกว่าเป็นข้อที่ทำได้ จึงยังไม่ได้ข้อยุติ อัยการฯจึงบอกว่าต้องกลับไปดูข้อกฎหมายอีกครั้ง ตอนนี้ก็ยุ่งกันใหญ่ จะต้องคุยกันใหม่ เพราะยังเหมือนวนในอ่าง
เสียงแข็งยอมได้-แต่ไม่ทั้งหมด
“การที่รอง อสส.ระบุว่าป.ป.ช. แข็ง ก็ใช่ เพราะเราไม่ยอม เรายึดกฎหมาย และเห็นว่าสำนวนในคดี หลักฐาน ข้อไต่สวนต่าง ๆ เพียงพอดำเนินคดีแล้ว แต่เขายังเห็นต่าง อย่างไรก็ตาม ในส่วนการสอบพยานเพิ่มนั้น ป.ป.ช. ก็รับไปทำบางส่วนให้ แต่ส่วนที่ยังเหลือยืนยันว่าทำไม่ได้ การประชุมวันนี้ ไม่ได้เรียกว่า จบไม่สวย แต่ยังไม่จบ เพราะต่างคนต่างยัน แต่ยังไม่ได้กำหนดนัดหารือครั้งต่อไป เพราะทั้งป.ป.ช.-อสส.ต้องรายงานที่ประชุม ป.ป.ช.ก่อน” นายสรรเสริญ กล่าว
ปปช.ย้ำไม่สอบพยานเดิมซ้ำ
ด้านนายปานเทพ กล้านรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เผยว่า นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.ได้รายงานผลประชุมคณะทำงานร่วมฯคดีโครงการรับจำนำข้าวให้ทราบแล้วว่า มีการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเรื่องการสอบพยานบุคคลเพิ่มเติม
ชงเข้าที่ประชุมใหญ่อีกครั้ง11พย.
“พยานใดที่ป.ป.ช.ไต่สวนไปแล้วจะไม่นำมาพิจารณาใหม่ แต่สำหรับพยานเอกสารที่อัยการฯขอเพิ่มจากที่ป.ป.ช.อ้างอิงไป จะหาให้ เนื่องจากมีพยานบุคคลอ้างอิงถึงพยานเอกสาร แต่ในส่วนพยานอื่นๆนั้นป.ป.ช.เห็นว่าเพียงพอแล้ว” นายสรรเสริญกล่าว และว่า จะรายงานข้อสรุปของที่ประชุมคณะทำงานร่วมให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบวันที่ 11 พฤศจิกายน

30 ปีโศกนาฏกรรม 'โภปาล' มรดกพิษจากสหรัฐ

30 ปีโศกนาฏกรรม'โภปาล'

ก๊าซที่รั่วไหลเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2527 จากบริษัทยูเนียน คาร์ไบด์ ซึ่งเป็นโรงงานของสหรัฐ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติสารเคมีที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะอุบัติเหตุการรั่วไหลของก๊าซเมทิลไอโซไซยาไนด์จำนวนกว่า 40 ตัน ได้คร่าชีวิตชาวบ้านไปหลายพันคนในเมืองโภปาล ซึ่งอยู่ตอนกลางของอินเดีย อีกทั้งยังมีผู้คนอีกหลายล้านคนที่ได้รับผลกระทบ

ดังนั้นจึงขอนำบทความและข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีมาฝากกันครับ
.....................
จากช่วงหนึ่งของการประชุมวิชาการเพื่อเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชประจำปี 2555 ของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้กล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น ตัวเลขของผู้ได้รับผลกระทบและมูลค่าความสูญเสียสูงมากจนน่าตกใจ เมื่อมองแบบไม่เฉพาะเพียงแต่สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในอาหาร ก็เห็นว่าทั่วโลกต่างก็ได้รับบทเรียนความสูญเสียจากสารเคมีซึ่งส่วนใหญ่เกิด จากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จึงขอนำเสนอเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับผลกระทบสารเคมีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกเหนือไปจากการรายงานข้อมูลเชิงลึกของศูนย์ข่าว TCIJ
เมื่อค้นหาเหตุการณ์ที่มีผู้ได้รับผลกระทบจากเว็บไซต์ชื่อดัง ก็ได้เจอกับบทความของคุณเกื้อเมธา ฤกษ์พรพิพัฒน์ บรรณาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว เขียนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2555 เรื่อง "เอเย่นต์ ออเร้นจ์ที่บ่อฝ้าย มรดกพิษจากสหรัฐฯ"

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 ในระหว่างการปรับพื้นที่เพื่อขยายทางรันเวย์ของสนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จู่ๆ รถแบ็กโฮก็ขุดกระทบถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินลึก 1.5 เมตร จนเกิดการรั่วไหล ส่งกลิ่นฉุนคลุ้งกระจาย จนคนงานไม่สามารถทำงานต่อไปได้ และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเกิดความแตกตื่น เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดว่า สารเคมีที่อยู่ในถังนั้นคือเอเย่นต์ ออเร้นจ์ (Agent Orange)
เอเย่นต์ ออเร้นจ์ เป็นสารพิษระดับตำนานที่ทหารอเมริกันใช้ในการศึกสมัยสมรภูมิรบที่สงคราม เวียดนามในช่วงปี 2504 – 2518 โดยใช้เครื่องบินฉีดพ่นป่ารกทึบให้ใบไม้ร่วง เพื่อทหารเวียดกงจะได้ปราศจากที่หลบซ่อน ฝนเหลืองไม่เพียงแต่ทำลายสภาพป่าในตอนนั้น ซึ่งธนาคารโลกเคยประเมินว่ากินบริเวณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ แต่ยังส่งผลกระทบสุขภาพต่อคนเวียดนามใต้ตราบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะประชาชนที่เคยสัมผัสและบรรดาทหารผ่านศึก เนื่องจากเอเย่นต์ ออเร้นจ์มีส่วนประกอบของสารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ และทำลายระบบประสาทส่วนกลาง อีกทั้งสารเคมีชนิดนี้ยังเป็นสารที่ย่อยสลายได้ยากในธรรมชาติ ทำให้สามารถสะสมในห่วงโซ่อาหารเมื่อเกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
จากนั้นก็ขุดพบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ภายในว่างเปล่า 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีขนาด 15 ลิตร 5 ถัง มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า “Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY” ซึ่งคำว่า Delaware (เดลาแวร์) นั้น เป็นชื่อเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ในตอนแรกหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมควบคุมมลพิษ กรมวิชาการเกษตร กรมการบินพาณิชย์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ต่างพากันออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เอเย่นต์ ออเร้นจ์ และตรวจไม่พบสารไดออกซิน
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นสนามบินของทหารอากาศ รวมทั้งอดีตเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฝึกการบินเอง กลับยืนยันว่า สารที่พบโดยบังเอิญนี้ เป็นสารเคมีที่ทหารอเมริกันใช้ในการทำสงครามอย่างแน่นอน พร้อมกับทยอยนำข้อมูลและภาพถ่ายการทดลองใช้เมื่อปี 2506 มาแสดงแก่สื่อมวลชน
ท่ามกลางความเคลือบแคลงของสังคม บวกกับแรงกดดันขององค์กรพัฒนาเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชนที่ขุดคุ้ยอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดโฆษกสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ออกมายอมรับกับสำนักข่าว เอพีว่า กองทัพสหรัฐฯ เคยเข้ามาปฏิบัติการทดลองในประเทศไทยที่บริเวณค่ายทหารธนรัชต์ อำเภอปราณบุรี ในช่วงปี 2507 – 2508 ภายใต้ชื่อ โครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในประเทศไทย (Thailand Defoliation Program) นอกจากนี้ ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมา ยังระบุด้วยว่า นอกจากเอเย่นต์ ออเร้นจ์แล้ว ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่นๆ ด้วย เพื่อเปรียบเทียบกับสารสีส้ม เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังคงปฏิเสธว่าสารเคมีที่ขุดพบใช่เอเย่นต์ ออเร้นจ์
คุณเกื้อเมธาบอกว่า ภายหลังการออกมาเปิดเผยของทางสหรัฐฯ กรมควบคุมมลพิษได้ยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือในการตรวจหาสารไดออก ซิน พร้อมกันนั้นได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างดินมาตรวจสอบอีกครั้ง โดยส่วนหนึ่งส่งไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการเอกชนของสหรัฐฯ และแคนาดา ผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการในต่างประเทศปรากฏชัดเจนว่า พบสารไดออกซินในตัวอย่างทั้งหมด โดยมี 1 ตัวอย่างที่ผลการตรวจมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลถึง 50 เท่า ซึ่งมีค่าสูงถึง 2,002 พีพีที (ส่วนในพันส่วน)
ถึงแม้ความจริงจะปรากฏ แต่เรื่องราวหาได้จบลงง่ายๆ เพราะเมื่อกรมควบคุมมลพิษออกแบบหลุมฝังกลบเสร็จเรียบร้อย แต่ไม่ว่าพื้นที่ใดที่ถูกเลือกให้เป็นที่ฝังกากสารพิษ ก็ได้รับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ทุกแห่ง แม้กระทั่งในบริเวณสนามบินบ่อฝ้ายเองก็ตาม ก็ได้รับการคัดค้านจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด จนในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในสมัยนั้น ต้องสั่งเดินหน้าการฝังกลบในพื้นที่ของสนามบินเอง หากทว่ากรมควบคุมมลพิษก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากในระหว่างนั้นกรมการบินพาณิชย์ได้ลักลอบนำดินปนเปื้อนไปทิ้งใน ที่ดินเอกชนโดยไม่ได้บอกกล่าวใครเสียก่อนแล้ว ต่อเมื่อเจ้าของที่ดินทราบเรื่องจึงไม่ยอมให้มีการขนดินกลับออกไป จนกว่าจะชดใช้ค่าเสียหาย 8 ล้านบาท สุดท้ายหน่วยงานรัฐต้องแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของที่ดินในข้อหาครอบครอง วัตถุอันตราย และใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 สั่งการให้เจ้าของที่ดินยินยอมนำดินปนเปื้อนออกมากำจัดด้วยการฝังกลบกากสาร พิษในบริเวณของสนามบินบ่อฝ้าย โดยเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษชี้แจงว่า จะมีการเก็บตัวอย่างดินบริเวณใกล้เคียงมาตรวจสอบปีละ 2 ครั้ง เป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี แล้วถ้าหากมีการรั่วซึม ก็จะแก้ปัญหาด้วยการรื้อขึ้นมาฝังกลบใหม่
เมื่อค้นหาต่อไปก็พบเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับสารเคมีอีกมากมาย จัดได้ว่าเป็นบทเรียนแก่คนไทยและชาวโลก ซึ่งขอนำเสนอในบางเหตุการณ์ เช่น

3 ธันวาคม 2527 แก๊สพิษรั่วจากโรงงานผลิตยาฆ่าแมลงที่อินเดีย

โรงงานนี้เป็นของยูเนี่ยน คาร์ไบด์ ซึ่งปัจจุบันรวมกิจการกับบริษัทดาว เคมิคัลแล้ว ตั้งอยู่ในเมืองโภปาลทางตอนกลางของอินเดีย หายนะภัยที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเดียวคร่าชีวิตชาวเมืองนับถึงปัจจุบันได้ มากกว่า 20,000 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัยและอีกมากกว่า 150,000 คน เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้รอดชีวิต และเด็กๆ เป็นโรคร้ายอย่างมะเร็ง และวัณโรค เด็กเกิดใหม่พิการ หรือแม้แต่เป็นไข้เรื้อรัง ชาวเมืองอีกมากกว่า 20,000 คนยังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการผจญกับสารพิษตกค้างซึ่งถูกละเลยมานับตั้งแต่ เกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 20 ปีก่อน
จากหลักฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของกรีนพีซ ในปี 2542, 2545 และ 2547 พบว่า สารเคมีเป็นพิษเหล่านั้นได้แก่ carbon tetrachloride และสารพิษตกค้างยาวนาน และโลหะหนัก เช่น ปรอท
ปัจจุบัน โภปาลยังเกี่ยวพันกับการดำเนินคดีที่ไม่สิ้นสุด แม้ว่าในส่วนของคดีแพ่งเกี่ยวกับการชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้เคราะห์ร้ายจะ จบลงไปหลายปีแล้ว แต่ศาลของอินเดียยังไม่ได้ตัดสินชี้ขาดคดีปัญหาที่เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมโภปาล อีกหลายเรื่อง และการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อนี้ก็กำลังส่อเค้าว่าจะสร้างปัญหาหนักอก ให้กับบริษัทดาว เคมิคอล ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโภปาลมาตั้งแต่แรกทั้งนี้บริษัทดาวเข้าซื้อ กิจการที่เหลืออยู่ของยูเนี่ยน คาร์ไบด์ เมื่อพ.ศ. 2545
แม้ว่ายูเนี่ยน คาร์ไบด์จะขายทิ้งหน่วยงานที่บริหารโรงงานโภปาลไปกว่าสิบปีก่อนที่ดาวจะเข้า ซื้อกิจการแล้วก็ตาม ชาวอินเดียจำนวนมากก็ยังปักใจเชื่อว่าในตอนนี้ดาวควรเป็นผู้รับผิดชอบเหตุ ร้ายในครั้งนั้น ถึงแม้ว่าดาวไม่เคยต้องจ่ายค่าเสียหายใดๆ แต่โภปาลกลับสร้างความเสื่อมเสียให้กับภาพลักษณ์ขององค์กร ทำให้การดำเนินงานของบริษัทถูกเพ่งเล็งมากขึ้น คนบางส่วนทั้งในอินเดียและต่างประเทศก็เชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้วดาวอาจจะ ต้องช่วยกำจัดสารเคมีในพื้นที่ซึ่งสารพิษได้รั่วไหลลงสู่น้ำใต้ดินที่ชาว บ้านกว่า 25,000 ชีวิตใช้ในกิจวัตรประจำวัน
ในพ.ศ.2532 ยูเนี่ยน คาร์ไบด์ ตกลงยินยอมจ่ายเงินมูลค่า 470 ล้านเหรียญให้กับเหยื่อผู้เสียหาย โดยแบ่งเป็น 1,500 เหรียญต่อผู้เสียชีวิตหนึ่งรายและ 550 เหรียญสำหรับผู้ที่ได้รับสารพิษ แต่ในส่วนของการดำเนินคดีอาญากับยูเนี่ยน คาร์ไบด์ยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลงได้ง่ายๆ บริษัทถูกฟ้องร้องในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท แต่ไม่มีผู้รับผิดชอบจากสำนักงานใหญ่ของยูเนี่ยน คาร์ไบด์ไปปรากฏตัวที่ศาลเลยสักคน ดังนั้น ผู้พิพากษาจึงประกาศให้บริษัทและประธานบริหารบริษัทเป็นผู้ต้องหาหลบหนี กฎหมาย กลุ่มผู้เสียหายและนักกฎหมายบางรายแย้งว่าถ้าเป็นเช่นนั้นบริษัท ดาวก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาให้ที่หลบภัยกับยูเนี่ยน คาร์ไบด์ที่ขณะนี้ถือว่าเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี

2 มีนาคม 2534 คลังเก็บสินค้าท่าเรือคลองเตยระเบิด

ที่มาของเหตุการณ์ดังกล่าวคือการปะทุของสารเคมีในคลังเก็บสินค้าอันตรายหมาย เลย 3 ของท่าเรือคลองเตย โดยพนักงานที่อยู่ประจำโกดังซึ่งเก็บสารเคมีหลากชนิดไว้รวมกันให้การว่า ต้นเพลิงเริ่มมาจากฟอสฟอรัสประมาณพันถุง ซึ่งวางซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ และในชั่วพริบตามันก็ลามไปถึงจุดเก็บถังแก๊สอันเป็นที่มาของเสียงระเบิด ก่อนที่เปลวไฟจะเคลื่อนตัวเข้าหาโกดังอื่นโดยรอบ รวมถึงชุมชนเกาะลาวบริเวณใกล้เคียงซึ่งมีผู้อยู่อาศัยกว่าร้อยหลังคาเรือน ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วันกว่าที่สารเคมีจะเผาไหม้หมด และอีกหลายวันกว่าที่กลิ่นของสารที่ไหม้ไฟจะจางหาย
แรงระเบิดและเปลวไฟทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 4 คน ทั้งบาดเจ็บอีกนับร้อย สารเคมีอันตรายหลากชนิดแฝงตัวเข้าไปในร่างกายของประชาชนในบริเวณโดยรอบ ชุมชนเกาะลาววอดวายจนสิ้นชื่อ ผู้คนกว่า 5,000 ชีวิตกลายเป็นคนไร้บ้าน
พวกเขาหลายคนอาจรอดตายจากเหตุการณ์ แต่สารพิษตกค้างก็ทำให้ต้องล้มป่วยลงในเวลาต่อมา ทั้งมีอีกเป็นจำนวนมากที่เสียชีวิตเพิ่มเติม โดยที่แพทย์ไม่อาจรับรองหรือวินิจฉัยได้โดยตรงถึงที่มาของอาการเหล่านั้น เพราะการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถระบุ ข้อมูลชนิดของสารเคมีในโกดังโดยละเอียดได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ เงินชดเชยที่ชาวบ้านควรจะได้จากการท่าเรือฯ กลับติดในเงื่อนไขและข้ออ้างว่า ความป่วยไข้ดังกล่าวอาจเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสารที่ถูกเผาไหม้ ทั้งยังมีการรายงานผ่านสื่อถึงภาพรวมว่า สุขภาพของชาวคลองเตยไร้ปัญหา “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
แม้จะไม่สามารถระบุได้ว่าสารเคมีจำนวนมากในโกดังเป็นชนิดใด นำเข้ามาจากไหน คนรับเป็นใคร หรือกระทั่งมีเจ้าของหรือไม่ ที่สุดแล้วกากของมันก็ถูกขนไปกับขบวนรถบรรทุกมุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี โดยผู้เกี่ยวข้องชี้แจงว่าจะนำไปฝังในเขตทหาร ด้วยวิธีสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบสี่ด้านและปิดทับด้านบนอีกชั้น เพื่อป้องกันสารเคมีรั่วไหล สร้างความมั่นใจว่าจะไม่เป็นอันตรายกับชาวบ้าน
อย่างไรก็ตาม ชาวกาญจนบุรีต่างไม่เชื่อในน้ำคำของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศในขณะนั้น จึงดำเนินการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบสารพิษโดยรอบหลุมฝัง ซึ่งก็พบว่าเกินค่ามาตรฐาน จนนำมาซึ่งการขุดซากเคมีเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ เพื่อฝังกลบด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งหวังว่าจะมีปริมาณการรั่วไหลของสารเคมีต่ำในอัตราที่ยอมรับได้
ในขณะที่ผู้คนในย่านคลองเตยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ต้องรวมตัวกันเรียกร้องเป็นเวลายาวนานถึงสิบกว่าปี กระทั่งมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน กรณีปัญหาผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมกรณีสารเคมีคลองเตยขึ้นมาเมื่อปี 2545 เพื่อทำงานประสานกันระหว่างภาครัฐกับชุมชนในการชดเชยความเสียหาย โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรง จำนวน 140 คน คนละ 10,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี, กองทุนฟื้นฟูอาชีพและสวัสดิการแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และการจัดสร้างศูนย์อาชีวะเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมคลองเตย เพื่อติดตามปัญหาการเจ็บป่วยและโรคจากการทำงานในผู้ป่วยที่ขาดโอกาสรักษา พยาบาลอย่างถูกต้อง โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีเพียงการชดเชยในส่วนแรกเท่านั้นที่ดำเนินการอย่างสมบูรณ์

5 พฤษภาคม 2555 ถังเก็บสารเคมีระเบิดที่มาบตาพุด

เหตุระเบิดที่โรงงานบริษัทกรุงเทพซินธิติกส์ จำกัด (BST: บีเอสที) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอสซีจีกรุ๊ป โดยแจ้งว่าถังเก็บสารโทลูอีนระเบิดตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2555 หลังเกิดเหตุ 40 นาที จึงมีเอสเอ็มเอสแจ้งประชาชน และข้อมูลที่เข้ามาในมือถือบอกแค่ว่ามีการระเบิด แต่ไม่มีข้อมูลเรื่องสารพิษหรืออะไรเลย มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 142 ราย
ทั้งนี้ BST เคยเกิดสารเคมีรั่วที่ท่าเรือจากการขนถ่ายสารเคมีมาส่งที่โรงงานในปี 2552 ขณะที่บริษัทอดิตยาฯ เคยเกิดสารคลอรีนรั่วมาแล้วในปี 2553 ซึ่งในครั้งนั้นทางศูนย์ประสานงานพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้น สุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้สรุปเหตุการณ์อุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลของบริษัทอดิตยาฯ จากการลงพื้นที่ตรวจสอบเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีที่มาบตาพุด และพื้นที่ใกล้เคียง

การใช้สารเคมีสังหารในสงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่สอง (World War 2) เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลก เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) และดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) อย่างที่ทราบกันว่าบุคคลที่มีบทบาทเป็นผู้นำทรงอำนาจของพรรคนาซีเยอรมัน คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้สร้างค่ายกักกันชาวยิวและสังหารชาวยิวด้วยการรมแก๊สพิษ เนื่องจากการสังหารแบบเดิมทีความล่าช้า โดยชาวยิวจะถูกต้อนให้เข้าไปอัดรวมกันอยู่ในห้องแคบๆ ก่อนจะถูกรมด้วยควันพิษจนตาย มีการนำแก๊สพิษหลากหลายชนิดมาใช้ในการสังหารครั้งนี้ เริ่มแรกนั้นมีการใช้ไซคลอนบี(เป็นสารไซยาไนต์แบบระเหยได้) จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นซารินที่ร้ายแรงกว่ามาก ซึ่งการสังหารจะใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น Joann Kremer นายแพทย์ที่ทำงานอยู่ในค่ายกล่าวว่า เขาได้ยินเสียงตะโกนและกรีดร้องด้วยความทรมานดังออกมาจากข้างในห้องอย่าง ชัดเจน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแต่ละคนพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป และเมื่อแน่ใจว่าทุกคนตายหมดแล้วศพจะถูกขนออกมาและถูกงัดฟันทองออกจากปาก ก่อนจะถูกนำไปกลบฝัง มีการทำความสะอาดห้องและทาสีใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชาวยิวกลุ่มต่อไปอยู่ตลอดเวลา

ฝนเหลือง ในสงครามเวียดนาม

สหรัฐอเมริกาใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม พ.ศ. 2504-2518 ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูก รุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และ ป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ
และด้วยเหตุที่เป็นสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ได้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารที่มี สารปนเปื้อนอยู่ มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี 2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารเคมีสะสมในปริมาณสูง
นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยา หลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน เช่น ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วง สงคราม รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมี อัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น
จนเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2555 สำนักข่าวเอพีรายงานจากเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐเริ่มทำการชะล้างสารอันตราย ไดออกซิน หรือ ฝนเหลือง ในเวียดนามอย่างเป็นทางการแล้ว ตามโครงการมูลค่า 43 ล้านดอลลาร์ ที่จะขจัดสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวเวียดนามราว 3-4 ล้านคน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวเวียดนาม ที่ได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=1613

No DAM

คำว่า ประชาธิปไตย ไม่ใช่การที่จะทำอะไรก็ได้ตามอำนาจที่ตนมี
แต่เป็นการเอื่อเฟื้อเผ่อแผ่ และแบ่งปัน กับชีวิตทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนผื้นโลกด้วยกัน

...ขอให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายจงตรองดูว่า
...จะเป็นผู้ทำลาย เพียงแค่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น
...หรือจะเป็นผู้สร้างสรรค์ ให้กับทุกชีวิต ได้อาศัยบนโลกใบนี้ไปอีกนาน

ความเข้าใจ ในเผด็จการ

เผด็จการคือการคุมขังประชาชนให้พ้นจากสิทธิ์ เสรีภาพ และผลประโยชน์ที่พึงมี
.....
ความง่ายดายในการตีความ ประชาธิปไตย และ เผด็จการ

...มันก็เหมือนกับคนในครอบครัว ที่มีพ่อ แม่ และลูกๆ
ถ้าพ่อมีอำนาจสูงสุดในครอบครัว เวลาจะตั้งกฏอะไรก็ตามหรือจะทำอะไรก็ตามที่มีผลกับครอบครัว แต่ถูกใจตัวเอง ก็จะทำไปเลยโดยไม่สนใจหัวอกของคนในครอบครัวว่าจะคิดเห็นอย่างไร
ถ้าลูกๆถาม หรือแม่บ้านถาม ก็มักจะบอกว่า ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว ฉันมีอำนาจเต็มที่จะตัดสินใจทำ ทุกคนไม่มีสิทธิ์จะมาว่าฉันหรือทักทัวงโดยเด็จขาด บางครั้งถึงกับใช้กำลังกันเลยก็มี
นี่คือเผด็จการในครอบครัว หรือก็คือต้นตอของระบอบเผด็จการ

...ที่ผ่านมาประเทศไทย
มีรัฐบาลที่ให้อำนาจประชาชนในการตัดสินใจหรือไม่?
มีรัฐบาลไหนให้ความสำคัญกับประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง?
มีรัฐบาลไหนที่กล้าเขียนรัฐธรรมนูญแล้วเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้อย่างหมดจด และหมดเปลือก?
มีรัฐบาลไหนที่กล้าให้ประชาชนได้แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฏหมายได้?
มีรัฐบาลไหนที่กล้าเอารายละเอียดที่แท้จริงของนโยบายมาให้ประชาชนได้ทักท้วง และไตร่ตรอง?
มีรัฐบาลไหนที่มีความกล้าหาญพอ เมื่อทำความผิดแล้วยอมรับโทษ?
และมีรัฐบาลไหนควรค่าให้ประชาชน ชื่นชน และเคารพนับถือบ้าง?
.....
...ให้รองคิดดูกันเอาเองครับ

(ขออย่าไปเอาวาทกรรมของนักการเมืองมาคิดตามนะครับ แต่ให้ดูที่การกระทำแล้วจะเข้าใจครับ)

คนไทยเสียค่าโง่ 9000 ล้าน

าลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวมดอกเบี้ยเบ็ดเสร็จประมาณหมื่นล้าน แก่ 6 บริษัทเอกชน ตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ด้านอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ขออ่านคำพิพากษาโดยละเอียด

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืน สั่ง “กรมควบคุมมลพิษ” ปฏิบัติตามคำชี้ขาดคณะอนุญาโตฯ คดีสัญญาสร้างโรงบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ่ายเงินผิดสัญญาจ่ายค่างวดงาน 4 งวด บวกดอกเบี้ย กว่า 9 พันล้าน ให้ วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง - สี่แสงการโยธาฯ - บ.ประยูรวิศว์ - บ.กรุงธนเอนยิเนียร์ - บ.เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ - บ.สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง

ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ วันที่ 21 พ.ย. 57 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีการก่อสร้างโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ หรือโครงการคลองด่าน หมายเลขดำ อ.285-286/2556 ที่บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด, บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด, บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด ยื่นฟ้อง กรมควบคุมมลพิษ ผู้ถูกฟ้อง เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้ กรมควบคุมมลพิษ ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ลงวันที่ 12 ม.ค. 54 ที่ให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระเงินกับ บริษัททั้งหก จำนวน 4,983,342,383 บาท และจำนวน 31,035,780 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 2,629,915,324.92 บาท และ 15,714,123.69 เหรียยสหรัฐฯ ที่เป็นเงินค่าจ้างในการออกแบบและก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งค่าเสียหายและดอกเบี้ย รวมทั้งสิ้น 7,613,257,707.92 บาท และอีก 46,749,903.69 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 46 จนถึงวันชำระเสร็จ และให้กรมควบคุมมลพิษ คืนหนังสือค้ำประกันพร้อมชำระค่าธรรมเนียม จำนวน 48 ล้านบาทให้บริษัททั้งหก ซึ่งรวมเป็นเงินที่กรมควบคุมมลพิษ ต้องชำระให้บริษัททั้งหกตามคำชี้ขาด รวมทั้งสิ้น 9,058,906,853.61 บาท เนื่องจากบริษัททั้งหกไม่ได้เป็นผู้บกพร่องเรื่องการลงลายมือชื่อในสัญญา อนุญาโตตุลาการ จากกรณีที่บริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด ได้เข้ามาเป็นคู่สัญญาแทนบริษัท นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ บจก.วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง, สี่แสงการโยธา (1979), ประยูรวิศว์, กรุงธนเอนยิเนียร์, เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ และ นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกันใช้ชื่อ กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี (NVPSKG) เพื่อรับจ้างออกแบบและก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียให้กรมควบคุมมลพิษ

โดยศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้มีการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ซึ่งให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระเงินกับบริษัททั้งหกให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด รวมทั้งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่บริษัททั้งหก

ซึ่งคดีนี้ กรมควบคุมมลพิษ ต่อสู้ว่า สัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย เนื่องจากกรมควบคุมมลพิษ ที่เข้าทำสัญญาลงวันที่ 20 ส.ค. 40 สำคัญผิดในตัวบุคคลที่เป็นคู่กรณีในนิติกรรม และสำคัญผิดในทรัพย์สิน โดยกิจการร่วมเอ็นวีพีเอสเคจี ทำการทุจริตหลอกลวงกรมควบคุมมลพิษ ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบว่า บจก.นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไม่ได้ร่วมเป็นคู่สัญญา ซึ่งการหลอกลวงนั้นทำให้ กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี (NVPSKG) ได้เงินจากกรมควบคุมมลพิษไป เพราะหากไม่มี บจก.นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ อยู่ในกิจการร่วมค้า ก็จะไม่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่ผ่านการพิจารณาประกวดราคา ซึ่งกรมควบคุมมลพิษ ได้ยื่นฟ้อง บริษัทที่ 1 - 5 กับพวกต่อศาลแขวงดุสิตในปี 2547 ในความผิดฐานฉ้อโกง และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อปี 2552 ว่า มีการทุจริตของข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และกิจการร่วมค้า ดังนั้น สัญญาที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย

ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด พิเคราะห์ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า กรณีนี้มีการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการตามขั้นตอนของกฎหมาย และชอบด้วย พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 18 แล้ว แม้ต่อมาบริษัททั้งหก จะนำคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมาร้องขอให้ศาลปกครองบังคับ เนื่องด้วยเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ก็ไม่มีผลทำให้ขั้นตอนการแต่งตั้งอนุญาโตฯ ดังกล่าวที่สมบูรณ์นั้น ต้องเสียไป

โดยเมื่อพิจารณาตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตฯ แล้ว คณะอนุญาโตฯ วินิจฉัยข้อเท็จจริงพบว่า บริษัทได้ส่งมอบงานตามสัญญา งวดงานที่ 55 - 58 แล้วจริง เมื่อกรมควบคุมมลพิษไม่จ่ายค่างวดงาน จึงต้องตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ส่วนที่บริษัททั้งหก อ้างว่ากรมควบคุมมลพิษผิดสัญญาอีกหลายประการ ก็ไม่ปรากฏว่าบริษัททั้งหกได้พูดถึงรายละเอียดว่าผิดสัญญาเรื่องใดบ้าง จึงรับฟังได้เพียงว่ากรมควบคุมมลพิษ ผิดสัญญาที่ไม่จ่ายค่างวดงาน 55 - 58 เท่านั้น ส่วนที่กรมควบคุมมลพิษ อ้างว่า สำคัญผิดเรื่อง บจก.นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ นั้น คณะอนุญาโตฯ วินิจฉัยว่า จากการไต่สวนพยานระบุว่า กิจการร่วมค้าฯ ไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์ จึงมีผลเท่ากับ ตกลงทำกิจการร่วมค้า ฯ ลักษณะของห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน ดังนั้นการที่ บจก.นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ ถอนตัวไป จึงไม่ถือว่ากรมควบคุมมลพิษเข้าทำสัญญาโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลกิจการร่วมค้า คณะอนุญาโตฯ จึงมีคำชี้ขาดให้กรมควบคุมมลพิษ ต้องชำระเงินค่าจ้างให้บริษัททั้งหกดังกล่าว

ศาลปกครองสูงสุด จึงเห็นว่า มีการระบุเหตผลของการวินิจฉัยคณะอนุญาโตฯ ไว้โดยชัดแจ้งแล้ว และไม่เกินคำของคู่พิพาทดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่มีเหตุให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโต ฯ ดังกล่าว การที่ศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตฯ นั้นจึงชอบแล้ว ศาลปกครองสูงสุด โดย นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ตุลาการเจ้าของสำนวน และองค์คณะ จึงมีคำพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว
..........................................................................................
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000134543
...........................................................................................
เพิ่มเติม....

กลุ่มบริษัท NVPSKG ประกอบด้วยบริษัทนอร์ทเวสท์ วอเอทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจของอังกฤษ (ภายหลังได้ถอนตัวออกไป), บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัทสี่แสงการโยธา จำกัด, บริษัทกรุงธนเอนยินียร์ จำกัด, บริษัทประยูรวิศการช่าง จำกัด และบริษัทเกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด
บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัทสี่แสงการโยธา จำกัด, บริษัทกรุงธนเอ็นจิเนียร์ จำกัด และบริษัทประยูรวิศการช่าง จำกัด ได้ชื่อว่าเป็น "สี่เสือกรมทางหลวง" เพราะเติบโตมากับการรับเหมาก่อสร้างทางหลวงทั่วประเทศ
วิจิตรภัณฑ์ฯ เป็นของตระกูลชวนะนันท์
สี่แสงการโยธา ผู้ก่อตั้งคือนายบรรหาร ศิลปอาชา ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือตระกูลวงศ์จิโรจน์กุล
กรุงธนเอนยิเนียร์เป็นบริษัทในเครือวิจิตรภัณฑ์ฯ
ประยูรวิศว์ฯ ผู้ก่อตั้งคือ นายวิศว์ ลิปตพัลลภ บิดาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในเวลานั้น
ที่ดินที่กลุ่มบริษัท NVPSKG เสนอให้ใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย คือที่ดินแปลงใหญ่ในตำบลคลองด่าน อยู่ห่างจากบางปูใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งตามแผนเดิมถึง ๒๐ กิโลเมตร ทำให้ต้องลงทุนเสียค่าท่อรวบรวมน้ำเสียแพงมากขึ้น และทำให้โครงการมูลค่า ๒๓,๗๐๑ ล้านบาท ต้องลงทุนเฉพาะค่าก่อสร้างท่อน้ำเสียเป็นเงินสูงถึง ๑๔,๐๐๐ ล้านบาท
ขณะที่ใช้เงินลงทุนกับระบบบำบัดน้ำเสีย อันเป็นหัวใจสำคัญของโครงการเพียง ๓,๐๐๐ ล้านบาท
http://www.sarakadee.com/feature/2003/04/klong_dan.htm

ที่โกหกเพื่อทำเงิน และทำเรตติ้ง เท่านั้น

ทำไมสือไทยถึงต้องเอาอย่างสืออเมริกา
ที่โกหกเพื่อทำเงิน และทำเรตติ้ง เท่านั้น
นี่หรือเสรีภาพของสือมวลชน
...........................................................
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย คุณแว้บ
...........................................................
คุณจะโกรธไหมครับถ้ามีคนมาเล่าเรื่องโกหกสารพัดให้คุณฟัง คอยหลอกลวงคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อไหมครับว่ากิจกรรมการโกหกซึ่งๆ หน้าประเภทแต่งตัวดีๆ มาโกหกกันทางทีวีนั้นให้เห็นกันทุกวัน ผมไม่ได้พูดถึงนักการเมืองที่กุเรื่องสารพัดกันในสภาฯ แบบที่เราคุ้นเคยกันนะครับ แต่กำลังจะพูดถึงธุรกิจบันเทิงเกี่ยวกับเรื่องโกหกหน้าตายที่ทำกันเป็นล่ำ เป็นสันในอเมริกา

ธุรกิจที่ผมพูดถึงเขาเรียกว่า News Satire หรือข่าวที่หลอกลวงเสียดสีแบบหน้าเป็น รายการข่าวเปื้อนสาระปนบันเทิงประเภทสรุปข่าวภาคดึก เช่น The Daily Show with Jon Stewart หรือ The Colbert Report สองรายการนี้ออกอากาศทาง Comedy Central สถานีทีวีที่ออกจะเอียงไปทางหัวก้าวหน้า ประมาณว่าเป็นคู่ปรับของ Fox News

ในขณะที่การรายงานข่าวตามสถานีทั่วไปนั้นเน้นความเที่ยงตรงและรวดเร็วของ ข้อมูล รายการข่าวเสียดสีมุ่งรายงานข่าวทีเล่นทีจริงและอ้างอิงวัฒนธรรมสมัยนิยม เป็นหลัก ตัวอย่างกรณีนโยบาย Don’t Ask Don’t Tell หรือนโยบายกีดกันกลุ่มรักร่วมเพศในกองทัพที่ประธานาธิบดีโอบามาเคยให้สัญญา ว่าจะยกเลิก แต่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาข้อเสนอนี้ถูกเขี่ยลงถังไปโดยตัวแทน รัฐบาลหลายคนออกมาอ้างว่าประเทศกำลังเผชิญวิกฤติต่างๆ มากมาย จะมาตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้ตอนนี้คงลำบาก แถมยังอ้างข้ออ้างเดิมๆ ว่าเกย์แบบโจ่งครึ่งนั้นบั่นทอนระเบียบวินัยในกองทัพ สรุปว่ารัฐบาลก็ยังจะรับเกย์เข้าร่วมกองทัพตราบที่ยังปิดบังฐานะทางเพศของตน ต่อไป ข่าวดังอย่างนี้ช่องข่าวทั่วไปก็จะรายงานและบอกว่าวุฒิสมาชิกคนให้เห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายนี้ อาจมีความเห็นเพิ่มเติมจากผู้อ่านข่าวพอเป็นพิธี ถ้าเป็น Fox News ก็อาจจะออกมาเหน็บพรรคเดโมแครตบ้างเล็กน้อย แต่สำนักข่าวเสียดสีเล่นหนักกว่านั้นเยอะครับ จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกตัวแทนรัฐแอริโซนา เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะสนับสนุนการยกเลิกนโยบายนี้เมื่อหลายปีก่อน แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับคำพูดอ้างโน่นนี่ สำนักข่าวเสียดสีอย่าง The Colbert Report ก็ไปขุดเอาเทปการให้สัมภาษณ์ในอดีตที่แมคเคนเคยสัญญาว่าจะสนับสนุนการยกเลิก นโยบายนี้มาแฉ ส่วน The Daily Show ของคุณ Jon Stewart เล่นเลยเถิดไปถึงขนาดเชิญผู้สันทัดกรณี (ตัวปลอม) มาเปรียบเทียบว่าคนแก่นั้นเป็นอันตรายต่อการทำงานของวุฒิสภา (ไม่ต่างจากเกย์เป็นอันตรายต่อภารกิจในกองทัพ) และยกตัวอย่างว่าการกลับคำพูดของแมคเคนนั้น ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนทางนโยบายอะไรแต่เป็นเพียงเพราะคนแก่นั้นหลงลืมง่าย นอกจากนี้ยังเสนอนโยบายให้คนแก่ออกมาปกปิดความแก่ของตัวเอง เพื่อจะได้รับใช้ประเทศได้ต่อไป (เหมือนที่บังคับให้เกย์ออกมาปกปิดสถานะรักร่วมเพศของตน)

นอกจากสำนักข่าวทางทีวีอย่างสองรายการที่ว่ามาข้างต้นยังมีสำนักข่าวออนไลน์ อย่าง Onion News ที่มีจุดเด่นคือไม่ต้องอ้างอิงข่าวเหตุการณ์ปัจจุบันเพราะสร้างข่าวยกเมฆเอา เองทั้งรายการ สำนักข่าวหัวหอมถนัดเล่นมุขแดกดันเสียดสี ลองดูมุมการเมืองก็จะมีข่าวประมาณอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยูบุช เดินทางเยี่ยมเยียนชาวบ้านหลังประสบภัยพิบัติในยุคที่ตนดำรงตำแหน่ง หรือข่าวประธานาธิบดีโอบามาหวังใช้อัลบัมใหม่ของบรูซ สปริงส์ทีนเป็นดรรชนีชี้แนะทิศทางเศรษฐกิจ ด้านข่าวต่างประเทศก็เสนอสกู๊ปพิเศษจากสาธารณรัฐคองโกที่เริ่มใช้นโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกอาวุธสงครามเพื่อให้ประชาชนใช้ต่อสู้กับกลุ่มกบฎ และประกอบอาชีพในอนาคต แม้จะเป็นสำนักข่าวออนไลน์แต่สำนักข่าวหัวหอมก็เอาตั้งหน้าตั้งตาจัดรายการ เหมือนการรายงานข่าวของจริง มีนักข่าวประจำมากมาย ผลิตวิดีโอข่าวที่มีอินโทรกราฟฟิก ผู้ดำเนินรายการจากห้องข่าวต่างๆ มารายงานข่าวกันอย่างแข็งขัน แถมมีการสัมภาษณ์ชาวบ้านอีกต่างหาก

ถ้าจะถามว่าทำไมข่าวที่ดูไร้สาระแบบนี้ถึงได้เป็นที่นิยมในอเมริกาและหลาย ประเทศในยุโรปผมเองก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือผลการสำรวจจากสถาบันวิจัยด้านการ เลือกตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐเพนซิลเวเนียพบว่าผู้บริโภคข่าวเสียดสี หลอกลวงรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผู้สมัครชิงตำแหน่งมากกว่าผู้บริโภคข่าว ทั่วไป ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคเหล่านี้มีความรู้มากกว่าเป็นเพราะ พฤติกรรมการบริโภคข้อมูลที่หลากหลายกว่าหรือเป็นเพราะรายการข่าวเสียดสี หลอกลวงประเภทนี้เปิดมุมมองที่กว้างและลึกกว่าข่าวทั่วไปที่เสนอแต่ข้อมูล โดย (อ้างว่า) ปราศจากความคิดเห็น สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับสำนักข่าวเสียดสีเหล่านี้คือการนำมุมมองที่แตกต่าง มาตีแผ่ เอาข่าวดีมาเปรียบเทียบกับข่าวห่วย จับผิดนักการเมืองโกหก แม้หลายๆ ครั้งจะเป็นการชักจูงผู้ชม แต่พูดตรงๆ สำนักข่าวในอเมริกาก็แบ่งข้างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าสนับสนุนฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายขวา

บ้านเราแม้จะไม่มีช่องข่าวสนับสนุนกลุ่มซ้ายขวาชัดเจนอย่างในอเมริกา แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าแบ่งแยกเป็นสีโน้นสีนี้และก็มีรายการ คุยข่าวที่ออกมาตอบรับผู้ชมที่ต่างสีต่างความคิด บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีเสียอีกถ้าทุกครั้งที่เราดูข่าวแล้วคอยถามตัวเอง ว่าที่กำลังรับชมรับฟังอยู่นั้นเป็นข่าวแท้หรือข่าวเทียม ว่าไหมครับ?
............................
https://www.gotoknow.org/posts/557553
...........................