วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

30 ปีโศกนาฏกรรม 'โภปาล' มรดกพิษจากสหรัฐ

30 ปีโศกนาฏกรรม'โภปาล'

ก๊าซที่รั่วไหลเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2527 จากบริษัทยูเนียน คาร์ไบด์ ซึ่งเป็นโรงงานของสหรัฐ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติสารเคมีที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะอุบัติเหตุการรั่วไหลของก๊าซเมทิลไอโซไซยาไนด์จำนวนกว่า 40 ตัน ได้คร่าชีวิตชาวบ้านไปหลายพันคนในเมืองโภปาล ซึ่งอยู่ตอนกลางของอินเดีย อีกทั้งยังมีผู้คนอีกหลายล้านคนที่ได้รับผลกระทบ

ดังนั้นจึงขอนำบทความและข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีมาฝากกันครับ
.....................
จากช่วงหนึ่งของการประชุมวิชาการเพื่อเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชประจำปี 2555 ของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้กล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น ตัวเลขของผู้ได้รับผลกระทบและมูลค่าความสูญเสียสูงมากจนน่าตกใจ เมื่อมองแบบไม่เฉพาะเพียงแต่สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในอาหาร ก็เห็นว่าทั่วโลกต่างก็ได้รับบทเรียนความสูญเสียจากสารเคมีซึ่งส่วนใหญ่เกิด จากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จึงขอนำเสนอเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับผลกระทบสารเคมีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกเหนือไปจากการรายงานข้อมูลเชิงลึกของศูนย์ข่าว TCIJ
เมื่อค้นหาเหตุการณ์ที่มีผู้ได้รับผลกระทบจากเว็บไซต์ชื่อดัง ก็ได้เจอกับบทความของคุณเกื้อเมธา ฤกษ์พรพิพัฒน์ บรรณาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว เขียนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2555 เรื่อง "เอเย่นต์ ออเร้นจ์ที่บ่อฝ้าย มรดกพิษจากสหรัฐฯ"

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 ในระหว่างการปรับพื้นที่เพื่อขยายทางรันเวย์ของสนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จู่ๆ รถแบ็กโฮก็ขุดกระทบถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินลึก 1.5 เมตร จนเกิดการรั่วไหล ส่งกลิ่นฉุนคลุ้งกระจาย จนคนงานไม่สามารถทำงานต่อไปได้ และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเกิดความแตกตื่น เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดว่า สารเคมีที่อยู่ในถังนั้นคือเอเย่นต์ ออเร้นจ์ (Agent Orange)
เอเย่นต์ ออเร้นจ์ เป็นสารพิษระดับตำนานที่ทหารอเมริกันใช้ในการศึกสมัยสมรภูมิรบที่สงคราม เวียดนามในช่วงปี 2504 – 2518 โดยใช้เครื่องบินฉีดพ่นป่ารกทึบให้ใบไม้ร่วง เพื่อทหารเวียดกงจะได้ปราศจากที่หลบซ่อน ฝนเหลืองไม่เพียงแต่ทำลายสภาพป่าในตอนนั้น ซึ่งธนาคารโลกเคยประเมินว่ากินบริเวณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ แต่ยังส่งผลกระทบสุขภาพต่อคนเวียดนามใต้ตราบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะประชาชนที่เคยสัมผัสและบรรดาทหารผ่านศึก เนื่องจากเอเย่นต์ ออเร้นจ์มีส่วนประกอบของสารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ และทำลายระบบประสาทส่วนกลาง อีกทั้งสารเคมีชนิดนี้ยังเป็นสารที่ย่อยสลายได้ยากในธรรมชาติ ทำให้สามารถสะสมในห่วงโซ่อาหารเมื่อเกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
จากนั้นก็ขุดพบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ภายในว่างเปล่า 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีขนาด 15 ลิตร 5 ถัง มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า “Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY” ซึ่งคำว่า Delaware (เดลาแวร์) นั้น เป็นชื่อเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ในตอนแรกหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมควบคุมมลพิษ กรมวิชาการเกษตร กรมการบินพาณิชย์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ต่างพากันออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เอเย่นต์ ออเร้นจ์ และตรวจไม่พบสารไดออกซิน
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นสนามบินของทหารอากาศ รวมทั้งอดีตเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฝึกการบินเอง กลับยืนยันว่า สารที่พบโดยบังเอิญนี้ เป็นสารเคมีที่ทหารอเมริกันใช้ในการทำสงครามอย่างแน่นอน พร้อมกับทยอยนำข้อมูลและภาพถ่ายการทดลองใช้เมื่อปี 2506 มาแสดงแก่สื่อมวลชน
ท่ามกลางความเคลือบแคลงของสังคม บวกกับแรงกดดันขององค์กรพัฒนาเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชนที่ขุดคุ้ยอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดโฆษกสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ออกมายอมรับกับสำนักข่าว เอพีว่า กองทัพสหรัฐฯ เคยเข้ามาปฏิบัติการทดลองในประเทศไทยที่บริเวณค่ายทหารธนรัชต์ อำเภอปราณบุรี ในช่วงปี 2507 – 2508 ภายใต้ชื่อ โครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในประเทศไทย (Thailand Defoliation Program) นอกจากนี้ ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมา ยังระบุด้วยว่า นอกจากเอเย่นต์ ออเร้นจ์แล้ว ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่นๆ ด้วย เพื่อเปรียบเทียบกับสารสีส้ม เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังคงปฏิเสธว่าสารเคมีที่ขุดพบใช่เอเย่นต์ ออเร้นจ์
คุณเกื้อเมธาบอกว่า ภายหลังการออกมาเปิดเผยของทางสหรัฐฯ กรมควบคุมมลพิษได้ยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือในการตรวจหาสารไดออก ซิน พร้อมกันนั้นได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างดินมาตรวจสอบอีกครั้ง โดยส่วนหนึ่งส่งไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการเอกชนของสหรัฐฯ และแคนาดา ผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการในต่างประเทศปรากฏชัดเจนว่า พบสารไดออกซินในตัวอย่างทั้งหมด โดยมี 1 ตัวอย่างที่ผลการตรวจมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลถึง 50 เท่า ซึ่งมีค่าสูงถึง 2,002 พีพีที (ส่วนในพันส่วน)
ถึงแม้ความจริงจะปรากฏ แต่เรื่องราวหาได้จบลงง่ายๆ เพราะเมื่อกรมควบคุมมลพิษออกแบบหลุมฝังกลบเสร็จเรียบร้อย แต่ไม่ว่าพื้นที่ใดที่ถูกเลือกให้เป็นที่ฝังกากสารพิษ ก็ได้รับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ทุกแห่ง แม้กระทั่งในบริเวณสนามบินบ่อฝ้ายเองก็ตาม ก็ได้รับการคัดค้านจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด จนในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในสมัยนั้น ต้องสั่งเดินหน้าการฝังกลบในพื้นที่ของสนามบินเอง หากทว่ากรมควบคุมมลพิษก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากในระหว่างนั้นกรมการบินพาณิชย์ได้ลักลอบนำดินปนเปื้อนไปทิ้งใน ที่ดินเอกชนโดยไม่ได้บอกกล่าวใครเสียก่อนแล้ว ต่อเมื่อเจ้าของที่ดินทราบเรื่องจึงไม่ยอมให้มีการขนดินกลับออกไป จนกว่าจะชดใช้ค่าเสียหาย 8 ล้านบาท สุดท้ายหน่วยงานรัฐต้องแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของที่ดินในข้อหาครอบครอง วัตถุอันตราย และใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 สั่งการให้เจ้าของที่ดินยินยอมนำดินปนเปื้อนออกมากำจัดด้วยการฝังกลบกากสาร พิษในบริเวณของสนามบินบ่อฝ้าย โดยเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษชี้แจงว่า จะมีการเก็บตัวอย่างดินบริเวณใกล้เคียงมาตรวจสอบปีละ 2 ครั้ง เป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี แล้วถ้าหากมีการรั่วซึม ก็จะแก้ปัญหาด้วยการรื้อขึ้นมาฝังกลบใหม่
เมื่อค้นหาต่อไปก็พบเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับสารเคมีอีกมากมาย จัดได้ว่าเป็นบทเรียนแก่คนไทยและชาวโลก ซึ่งขอนำเสนอในบางเหตุการณ์ เช่น

3 ธันวาคม 2527 แก๊สพิษรั่วจากโรงงานผลิตยาฆ่าแมลงที่อินเดีย

โรงงานนี้เป็นของยูเนี่ยน คาร์ไบด์ ซึ่งปัจจุบันรวมกิจการกับบริษัทดาว เคมิคัลแล้ว ตั้งอยู่ในเมืองโภปาลทางตอนกลางของอินเดีย หายนะภัยที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเดียวคร่าชีวิตชาวเมืองนับถึงปัจจุบันได้ มากกว่า 20,000 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัยและอีกมากกว่า 150,000 คน เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้รอดชีวิต และเด็กๆ เป็นโรคร้ายอย่างมะเร็ง และวัณโรค เด็กเกิดใหม่พิการ หรือแม้แต่เป็นไข้เรื้อรัง ชาวเมืองอีกมากกว่า 20,000 คนยังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการผจญกับสารพิษตกค้างซึ่งถูกละเลยมานับตั้งแต่ เกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 20 ปีก่อน
จากหลักฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของกรีนพีซ ในปี 2542, 2545 และ 2547 พบว่า สารเคมีเป็นพิษเหล่านั้นได้แก่ carbon tetrachloride และสารพิษตกค้างยาวนาน และโลหะหนัก เช่น ปรอท
ปัจจุบัน โภปาลยังเกี่ยวพันกับการดำเนินคดีที่ไม่สิ้นสุด แม้ว่าในส่วนของคดีแพ่งเกี่ยวกับการชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้เคราะห์ร้ายจะ จบลงไปหลายปีแล้ว แต่ศาลของอินเดียยังไม่ได้ตัดสินชี้ขาดคดีปัญหาที่เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมโภปาล อีกหลายเรื่อง และการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อนี้ก็กำลังส่อเค้าว่าจะสร้างปัญหาหนักอก ให้กับบริษัทดาว เคมิคอล ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโภปาลมาตั้งแต่แรกทั้งนี้บริษัทดาวเข้าซื้อ กิจการที่เหลืออยู่ของยูเนี่ยน คาร์ไบด์ เมื่อพ.ศ. 2545
แม้ว่ายูเนี่ยน คาร์ไบด์จะขายทิ้งหน่วยงานที่บริหารโรงงานโภปาลไปกว่าสิบปีก่อนที่ดาวจะเข้า ซื้อกิจการแล้วก็ตาม ชาวอินเดียจำนวนมากก็ยังปักใจเชื่อว่าในตอนนี้ดาวควรเป็นผู้รับผิดชอบเหตุ ร้ายในครั้งนั้น ถึงแม้ว่าดาวไม่เคยต้องจ่ายค่าเสียหายใดๆ แต่โภปาลกลับสร้างความเสื่อมเสียให้กับภาพลักษณ์ขององค์กร ทำให้การดำเนินงานของบริษัทถูกเพ่งเล็งมากขึ้น คนบางส่วนทั้งในอินเดียและต่างประเทศก็เชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้วดาวอาจจะ ต้องช่วยกำจัดสารเคมีในพื้นที่ซึ่งสารพิษได้รั่วไหลลงสู่น้ำใต้ดินที่ชาว บ้านกว่า 25,000 ชีวิตใช้ในกิจวัตรประจำวัน
ในพ.ศ.2532 ยูเนี่ยน คาร์ไบด์ ตกลงยินยอมจ่ายเงินมูลค่า 470 ล้านเหรียญให้กับเหยื่อผู้เสียหาย โดยแบ่งเป็น 1,500 เหรียญต่อผู้เสียชีวิตหนึ่งรายและ 550 เหรียญสำหรับผู้ที่ได้รับสารพิษ แต่ในส่วนของการดำเนินคดีอาญากับยูเนี่ยน คาร์ไบด์ยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลงได้ง่ายๆ บริษัทถูกฟ้องร้องในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท แต่ไม่มีผู้รับผิดชอบจากสำนักงานใหญ่ของยูเนี่ยน คาร์ไบด์ไปปรากฏตัวที่ศาลเลยสักคน ดังนั้น ผู้พิพากษาจึงประกาศให้บริษัทและประธานบริหารบริษัทเป็นผู้ต้องหาหลบหนี กฎหมาย กลุ่มผู้เสียหายและนักกฎหมายบางรายแย้งว่าถ้าเป็นเช่นนั้นบริษัท ดาวก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาให้ที่หลบภัยกับยูเนี่ยน คาร์ไบด์ที่ขณะนี้ถือว่าเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี

2 มีนาคม 2534 คลังเก็บสินค้าท่าเรือคลองเตยระเบิด

ที่มาของเหตุการณ์ดังกล่าวคือการปะทุของสารเคมีในคลังเก็บสินค้าอันตรายหมาย เลย 3 ของท่าเรือคลองเตย โดยพนักงานที่อยู่ประจำโกดังซึ่งเก็บสารเคมีหลากชนิดไว้รวมกันให้การว่า ต้นเพลิงเริ่มมาจากฟอสฟอรัสประมาณพันถุง ซึ่งวางซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ และในชั่วพริบตามันก็ลามไปถึงจุดเก็บถังแก๊สอันเป็นที่มาของเสียงระเบิด ก่อนที่เปลวไฟจะเคลื่อนตัวเข้าหาโกดังอื่นโดยรอบ รวมถึงชุมชนเกาะลาวบริเวณใกล้เคียงซึ่งมีผู้อยู่อาศัยกว่าร้อยหลังคาเรือน ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วันกว่าที่สารเคมีจะเผาไหม้หมด และอีกหลายวันกว่าที่กลิ่นของสารที่ไหม้ไฟจะจางหาย
แรงระเบิดและเปลวไฟทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 4 คน ทั้งบาดเจ็บอีกนับร้อย สารเคมีอันตรายหลากชนิดแฝงตัวเข้าไปในร่างกายของประชาชนในบริเวณโดยรอบ ชุมชนเกาะลาววอดวายจนสิ้นชื่อ ผู้คนกว่า 5,000 ชีวิตกลายเป็นคนไร้บ้าน
พวกเขาหลายคนอาจรอดตายจากเหตุการณ์ แต่สารพิษตกค้างก็ทำให้ต้องล้มป่วยลงในเวลาต่อมา ทั้งมีอีกเป็นจำนวนมากที่เสียชีวิตเพิ่มเติม โดยที่แพทย์ไม่อาจรับรองหรือวินิจฉัยได้โดยตรงถึงที่มาของอาการเหล่านั้น เพราะการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถระบุ ข้อมูลชนิดของสารเคมีในโกดังโดยละเอียดได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ เงินชดเชยที่ชาวบ้านควรจะได้จากการท่าเรือฯ กลับติดในเงื่อนไขและข้ออ้างว่า ความป่วยไข้ดังกล่าวอาจเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสารที่ถูกเผาไหม้ ทั้งยังมีการรายงานผ่านสื่อถึงภาพรวมว่า สุขภาพของชาวคลองเตยไร้ปัญหา “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
แม้จะไม่สามารถระบุได้ว่าสารเคมีจำนวนมากในโกดังเป็นชนิดใด นำเข้ามาจากไหน คนรับเป็นใคร หรือกระทั่งมีเจ้าของหรือไม่ ที่สุดแล้วกากของมันก็ถูกขนไปกับขบวนรถบรรทุกมุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี โดยผู้เกี่ยวข้องชี้แจงว่าจะนำไปฝังในเขตทหาร ด้วยวิธีสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบสี่ด้านและปิดทับด้านบนอีกชั้น เพื่อป้องกันสารเคมีรั่วไหล สร้างความมั่นใจว่าจะไม่เป็นอันตรายกับชาวบ้าน
อย่างไรก็ตาม ชาวกาญจนบุรีต่างไม่เชื่อในน้ำคำของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศในขณะนั้น จึงดำเนินการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบสารพิษโดยรอบหลุมฝัง ซึ่งก็พบว่าเกินค่ามาตรฐาน จนนำมาซึ่งการขุดซากเคมีเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ เพื่อฝังกลบด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งหวังว่าจะมีปริมาณการรั่วไหลของสารเคมีต่ำในอัตราที่ยอมรับได้
ในขณะที่ผู้คนในย่านคลองเตยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ต้องรวมตัวกันเรียกร้องเป็นเวลายาวนานถึงสิบกว่าปี กระทั่งมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน กรณีปัญหาผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมกรณีสารเคมีคลองเตยขึ้นมาเมื่อปี 2545 เพื่อทำงานประสานกันระหว่างภาครัฐกับชุมชนในการชดเชยความเสียหาย โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรง จำนวน 140 คน คนละ 10,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี, กองทุนฟื้นฟูอาชีพและสวัสดิการแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และการจัดสร้างศูนย์อาชีวะเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมคลองเตย เพื่อติดตามปัญหาการเจ็บป่วยและโรคจากการทำงานในผู้ป่วยที่ขาดโอกาสรักษา พยาบาลอย่างถูกต้อง โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีเพียงการชดเชยในส่วนแรกเท่านั้นที่ดำเนินการอย่างสมบูรณ์

5 พฤษภาคม 2555 ถังเก็บสารเคมีระเบิดที่มาบตาพุด

เหตุระเบิดที่โรงงานบริษัทกรุงเทพซินธิติกส์ จำกัด (BST: บีเอสที) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอสซีจีกรุ๊ป โดยแจ้งว่าถังเก็บสารโทลูอีนระเบิดตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2555 หลังเกิดเหตุ 40 นาที จึงมีเอสเอ็มเอสแจ้งประชาชน และข้อมูลที่เข้ามาในมือถือบอกแค่ว่ามีการระเบิด แต่ไม่มีข้อมูลเรื่องสารพิษหรืออะไรเลย มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 142 ราย
ทั้งนี้ BST เคยเกิดสารเคมีรั่วที่ท่าเรือจากการขนถ่ายสารเคมีมาส่งที่โรงงานในปี 2552 ขณะที่บริษัทอดิตยาฯ เคยเกิดสารคลอรีนรั่วมาแล้วในปี 2553 ซึ่งในครั้งนั้นทางศูนย์ประสานงานพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้น สุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้สรุปเหตุการณ์อุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลของบริษัทอดิตยาฯ จากการลงพื้นที่ตรวจสอบเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีที่มาบตาพุด และพื้นที่ใกล้เคียง

การใช้สารเคมีสังหารในสงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่สอง (World War 2) เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลก เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) และดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) อย่างที่ทราบกันว่าบุคคลที่มีบทบาทเป็นผู้นำทรงอำนาจของพรรคนาซีเยอรมัน คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้สร้างค่ายกักกันชาวยิวและสังหารชาวยิวด้วยการรมแก๊สพิษ เนื่องจากการสังหารแบบเดิมทีความล่าช้า โดยชาวยิวจะถูกต้อนให้เข้าไปอัดรวมกันอยู่ในห้องแคบๆ ก่อนจะถูกรมด้วยควันพิษจนตาย มีการนำแก๊สพิษหลากหลายชนิดมาใช้ในการสังหารครั้งนี้ เริ่มแรกนั้นมีการใช้ไซคลอนบี(เป็นสารไซยาไนต์แบบระเหยได้) จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นซารินที่ร้ายแรงกว่ามาก ซึ่งการสังหารจะใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น Joann Kremer นายแพทย์ที่ทำงานอยู่ในค่ายกล่าวว่า เขาได้ยินเสียงตะโกนและกรีดร้องด้วยความทรมานดังออกมาจากข้างในห้องอย่าง ชัดเจน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแต่ละคนพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป และเมื่อแน่ใจว่าทุกคนตายหมดแล้วศพจะถูกขนออกมาและถูกงัดฟันทองออกจากปาก ก่อนจะถูกนำไปกลบฝัง มีการทำความสะอาดห้องและทาสีใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชาวยิวกลุ่มต่อไปอยู่ตลอดเวลา

ฝนเหลือง ในสงครามเวียดนาม

สหรัฐอเมริกาใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม พ.ศ. 2504-2518 ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูก รุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และ ป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ
และด้วยเหตุที่เป็นสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ได้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารที่มี สารปนเปื้อนอยู่ มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี 2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารเคมีสะสมในปริมาณสูง
นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยา หลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน เช่น ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วง สงคราม รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมี อัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น
จนเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2555 สำนักข่าวเอพีรายงานจากเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐเริ่มทำการชะล้างสารอันตราย ไดออกซิน หรือ ฝนเหลือง ในเวียดนามอย่างเป็นทางการแล้ว ตามโครงการมูลค่า 43 ล้านดอลลาร์ ที่จะขจัดสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวเวียดนามราว 3-4 ล้านคน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวเวียดนาม ที่ได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=1613

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น