วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558
It not red buffalo
ฟังการระบายออกของคนบางคนที่เหลืออดกับสถานการปัจจุบัน
แต่ก็ไม่หนีความจริงครับ เพราะกลัวคนจะเกียด ควาย
.......................................
"ผมเบื่อ...
สำหรับคนบางกลุ่ม บางพวก ที่ไม่ยอมเข้าใจในสภาวการณ์ปัจจุบัน
พยายามหาทางแถ แฉไฉ ไปนอกเรื่องกันตลอดเวลา
พยายามที่จะอยู่เหนือสังคม
พยายามที่จะเรียกร้องเอาอำนาจที่ไม่ชอบของตนกับมา
พยายามทำทุกวิถีทางที่จะบีบคั้นประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองให้อยู่ใต้อำนาจของประเทศอื่น เพื่อประโยชน์และอำนาจของตน
บุคคลพวกนี้ไร้ซึ่งความระอาย ความสำนึก ในความเป็นคนของประเทศ เป็นเพียงซากเดนของพ่อค้าทุนนิยมสามานต์ เป็นทาสที่น่าสมเพส เน่าเฟะ ของนายทุนบ้าอำนาจที่บ้าคลั้ง ยอมทำร้ายประเทศของตนได้เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเท่านั้น
ผมไม่เคยเรียกพวกนี้ว่า ควาย เพราะมันให้เกรียติมากเกินไป
(เพราะ ควาย ไม่ได้โง่เท่ากับคนพวกนี้
และสีแดงก็มีความหมายมากเกินกว่าการกระทำของคนพวกนี้)"
.......................................
โดย อาราดีน สุราตัน
US-Thailand relations, and others: The US only approves of Coups that we Sponsor -- all others are considered illegal
By: Michael Yon
.........................
...ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ไทย และ ประเทศอื่นๆ: สหรัฐอเมริกายอมรับรัฐบาลรัฐประหารที่เราส่งความสนุบสนุนไปให้เท่านั้น — นอกนั้นจะพิจารณาว่าเป็นพวกที่ได้อำนาจมาอย่างไม่ถูกกฎหมาย
.........................
...(ความคิดเห็นที่เขียนรวดเดียวอย่างรวดเร็ว)
...พวกเรามีประวัติอันยาวนานเกี่ยวกับการวางรากฐานประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ อย่าง ประเทศเวียดนาม, อิรัก และ อัฟกานิสถาน พวกเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ เชื่อพวกเราได้
...พวกเราช่วยปกป้องจีนจากญี่ปุ่น แล้วต่อมาก็กลายเป็นประเทศ สาธารณะประชาธิปไตยประชาชนจีน
...การกำเนิดของจีนยุคใหม่ — ดินแดนที่เราปกป้องจากเงื้อมมือของญี่ปุ่น — นั้นกระทำได้ต่ำช้ากว่าพวกนาซีจากเยอรมันเสียอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้ แต่ อย่าได้พูดถึงเรื่องที่น่าอึดอัดขัดเคืองเรื่องนี้กันเลยดีกว่า
...สัปดาห์นี้ผู้แทนสหรัฐฯที่มายังประเทศไทยได้กล่าวข้อความถึงเพื่อนที่นี่ว่า “เขายังได้ย้ำเตือนว่าสหรัฐฯนั้นเรียกร้องนั้นยุติกฎอัยการศึกและ ยกเลิกการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม”
...เขาพูดว่า เสรีภาพในการแสดงออก งั้นหรือ? นี่คือข่าวพาดหัวจากสหรัฐฯ
“แร็ปเปอร์เจอข้อหาที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิตจากการออกอัลบั้มเพลง”
http://abc7.com/…/rapper-faces-life-in-prison-for-r…/405174/
...ใช่แล้ว นักดนตรีอเมริกันเจอกับข้อหาที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ ประเทศไทย จงฟังการสั่งสอนเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจากอเมริกาเสีย
...ในประเทศไทย กฎอัยการศึกเริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะมีการใช้กฎอัยการศึกนั้น พวกผู้ก่อการร้ายได้เริ่มทำการกราดยิง, ขว้างระเบิด และ ยิง M-79
...พวกเขาร้องรำทำเพลงกันบนท้องถนน และ ถ่ายทอดออกทีวี ในตอนที่พวกเขาสังหารเด็กเล็กๆ เป็นอะไรแบบที่พวกเราได้เห็นชาว ฮามาส ทำ พวกเราสนับสนุนเหล่าผู้คนที่ร้องรำทำเพลงบนท้องถนนหลังจากได้สังหารเด็กๆเหล่านั้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ
...เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง ผมได้กลับไปยังจุดเกิดเหตุ ที่ที่ผมได้ถ่ายภาพเลือดของเด็กๆเหล่านั้นเมื่อหลายเดือนมาแล้ว แล้วยังคงมีร่องรอยการระเบิดของลูกระเบิดที่อนุสาวรีย์ พวกเราได้สนับสนุนเหล่าฆาตกร เอกอัครราชทูต คริสตี้ เคนนี่ ได้เลือกเข้าข้างกับพวกผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าเด็กๆอย่างเปิดเผย
...มีการโจมตีทำร้ายประมาณ 80 ครั้ง ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้าการทำรัฐประหารในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 มีคนเสียชีวิตกว่า 20 คน และ บาดเจ็บอีกกว่า 800 คน หลังจากการประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคม จนถึงนาทีนี้ของวันนี้ วันที่ 27 มกราคม 2558 ไม่มีการโจมตีทำร้ายที่มีพรรคเพื่อไทยหนุนหลังเกิดขึ้นอีกเลย (สงครามที่ภาคใต้นั้นเป็นคนละเรื่องกัน)
...แล้วเราก็ช่างกล้าที่จะสั่งสอนประเทศไทย? พวกเราสนับสนุนสัทธิก่อการร้าย ในตอนนั้นที่นี่ไม่มีประชาธิปไตย มันเป็นระบอบขายชาติที่ทุจริตคอรัปชั่น ที่นำโดยเหล่าสมุนของชินวัตรที่เรายังคงสนับสนุนอยู่ และ ผู้แทนสหรัฐฯก็เข้าพบเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
...สหรัฐฯให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยเหล่าบรรดาลูกน้องของทักษิณ
เราเคยให้การคุ้มครองระบอบการก่อการร้ายของไทย และ ในสัปดาห์นี้ก็ยังคงแสดงการคุ้มครองนั้นอยู่
...ในขณะเดียวกัน ในเขตภูมิภาคแถบนี้ รัฐบาลสหรัฐฯยังคงมีความคิดที่ว่า ญี่ปุ่นควรจะขอโทษจีน — เหตุผลมาจากนวนิยายที่แต่งเติมของจีน และ การพูดเกินจริงอย่างมโหฬาร จีนควรจะขอโทษทิเบต หรือ คนอีก 50 ล้าน หรือ ชาวจีนเองที่พวกเขาสังหารและปล่อยให้อดตายหรือไม่? แล้วแม่ที่ถูกบังคับให้ทำแท้งล่ะ?
ประเทศไทยยังคงมีมิตรไมตรีให้ แต่ พวกเรากำลังผลักให้ประเทศไทยและญี่ปุ่นนั้นเฉยชา ไม่ยินดียินร้าย คิดผิดเสียแล้วพวกเราถอยห่างจากอิสราเอล และ หันไปประคบประหงมชาว ฮามาศ และ เอซบอลล่า เหล่าคนที่ต้องการทำลายชาติตะวันตก ใครกันที่คิดแบบนี้ได้? มีชาวอเมริกันสักกี่คนที่ถูกชาวยิวหัวรุนแรงในอิสราเอลตัดหัว?
...พวกเราดูถูกญี่ปุ่น — หนึ่งในประชากรโลกที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้, ที่เคยมีมา เราเอาอกเอาใจจีน — องค์กรยักษ์ใหญ่ที่สนับสนุนการก่ออาชญากรรมข้ามชาติที่มีสัญชาติญาณของจระเข้ที่ชอบกัด เรากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูอัฟกานิสถานให้เติบใหญ่เป็นรัฐเถื่อนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลก และ เราก็เรียกสิ่งนั้นว่า ประชาธิปไตย
...การที่จะผลักไสไล่ส่งประเทศไทยให้ออกไปจากความสัมพันธ์นั้น จำต้องอาศัยการวางแผนการทำงาน สิ่งนี้ต้องอาศัยความพยายามที่เหมือนกับการผลักไสไล่ส่งพี่น้องในไส้ของพวกเรา มันอาศัยความอุตสาหะอย่างยิ่งยวดที่จะทำการผลักไสประเทศไทยออกไป แต่ แม้กระนั้นก็ตาม ด้วยการลงมือทีละขั้นทีละตอน เราก็กำลังลงมือจัดการผลักไสเพื่อนคนสำคัญนี้อยู่
...ญี่ปุ่นคิดว่าพวกเราโดดเดี่ยวญี่ปุ่นด้วยการทำร้าย ทั้งด้วยทางการพูดแสดงออกและทางการเมือง และ ทั้งนอร์เวย์และฮังการีโปรดมั่นใจได้เลยว่าเราไม่ได้ตีศอกเข้าใส่มิตรประเทศแค่นอร์เวย์และฮังการีเท่านั้น
...ประเทศไทย, ญี่ปุ่น, อิสราเอล, ฮังการี, สหราชอาณาจักร และ ประเทศอื่นๆ — ได้โปรดใช้อดทนอดกลั้นอีกนิด อีกไม่นานรัฐบาลนี้ก็จะหมดวาระลง แต่โชคไม่ดีที่ไม่สามารถรับประกันว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเป็นเช่นไร แต่ โปรดจงมั่นใจว่า มีชาวอเมริกันจำนวนมากที่มีความคับข้องใจมากกว่าพวกคุณอยู่
...วันนี้ผมมีธุระที่สถานกงสุลสหรัฐฯในเชียงใหม่ หน้าพาสปอร์ตของผมถูกประทับตราจนไม่เหลือที่ว่าง และ ผมก็ต้องต่อหน้าพาสปอร์ตสำหรับไว้ใช้เดินทางในปีนี้ เพื่องานค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวกับ ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ-จีน-เกาหลี
...เจ้าหน้าที่สถานกงสุลบอกผมว่าพาสปอร์ตของผมไม่เหลือที่ว่างสำหรับต่อ เนื่องจากหน้าสุดท้ายถูกใช้งานไปเรียบร้อยแล้ว ผมต้องซื้อพาสปอร์ตเล่มใหม่
และในขณะที่ผมเดินออกจากสถานกงสุล พร้อมกับหน้าพาสปอร์ตที่ต่อใหม่ในมือ ณ รั้วที่มีจุดรักษาความปลอดภัยนั้นเอง ที่สายตาของผมเจอกับป้าย “สองชาติ ความสัมพันธ์หนึ่งเดียว 180 ปี”
...ถ้าพวกเราต้องการให้มี ความสัมพันธ์ 190 ปี แล้วล่ะก็ พวกเราต้องหันมาใส่ใจกับเรื่องของตัวเอง ประเทศไทยก็ต้องทำตามแบบของไทย และสหรัฐอเมริกาก็ต้องเรียนรู้ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่สมควรจะหุบปาก
..................................................
(A quick unedited note.)
We have a long record of establishing democracy in places like Vietnam, Iraq, and Afghanistan. We are experts. Trust us.
We defended the Chinese from the Japanese and eventually ended up with the People's Republic of China.
The birth of modern China -- the land we defended against Japan -- surpassed the depravity of even Nazi Germany, which is extremely difficult to do. But let's not talk about this uncomfortable matter.
This week, our emissary to Thailand conveyed to our friends here, "He also repeated the US call for an end to martial law and restrictions on free speech and assembly."
Free speech he says? Headline from the United States,
"RAPPER FACES LIFE IN PRISON FOR RELEASING MUSIC ALBUM"
http://abc7.com/…/rapper-faces-life-in-prison-for-r…/405174/
Yes, an American musician is facing life in prison. But Thailand, listen to our lecture about free speech.
In Thailand, martial law began on 20 May 2014. I was in the middle of all the action, down in Bangkok. Before martial law, the terrorists were starting shootouts, tossing grenades, and shooting M79s.
They danced in the streets on television when they murdered children. Something we are used to seeing from Hamas. We supported the people who danced in the streets after murdering those children in downtown Bangkok.
Just a couple weeks ago, I returned to the scene where I photographed the children's blood months ago. There is still a grenade scar on a local monument. We supported these murderers. Our Ambassador Kristie Kenney openly sided with the terrorists who killed the children.
There had been approximately 80 terror attacks in the preceding six months before the 20 May 2014 coup. More than two dozen were killed, and more than 800 wounded. After the martial law on 20 May, and until this hour 27 January 2015, there have been no more PTP sponsored terror attacks. (The war down south is a separate matter.)
And we have the chutzpah to lecture Thailand? We supported the terrorism. There was no democracy here. It was a kleptocracy, led by the Shinawatra clan that we continue to support, and that our emissary met with just days ago.
The US supported PTP, led by the Shinawatra clan.
We gave the Thai terrorists political cover, and continue to do so this week.
Meanwhile in the region, the US government still thinks Japan should apologize to China -- based on Chinese fairytales and massive exaggerations. Should China apologize to Tibet, or to the 50 million or so Chinese they killed and starved to death? How about to the mothers who were forced to have abortions?
Washington has lost its moral compass. Many in Washington either do not know, or do not care, who our natural allies are. They cuddle our enemies and opponents, and alienate those who are naturally neutral, or friendly.
Thailand remains friendly, but we are shifting Thailand and Japan to the neutral gear. Bad idea.
We shun Israel and cuddle Hamas and Hezbollah who wish to destroy the west. Whose idea is this? How many Americans have the dangerous Israeli Jews beheaded?
We insult Japan -- one of the finest global citizens on the planet, ever. We cuddle PRC -- a massive international criminal enterprise with the conscious of a crocodile. We nurtured Afghanistan into becoming the largest narco-state in world history, and we call that democracy.
To alienate Thailand requires something of an active plan. This requires the sort of effort that it takes to alienate our own brothers and sisters. It takes extreme effort to alienate Thailand, yet somehow, step by step, we are managing to alienate this important ally.
Japan thinks we are singling out Japanese for verbal and political abuse. And Norway and Hungary, be assured that you are not the only allies we elbow.
Thailand, Japan, Israel, Norway, Hungary, UK, and others -- please be patient. This government will soon pass. Unfortunately there are no guarantees with the next one, but rest assured that many Americans are even more frustrated.
Today I had business at the US Consulate in Chiang Mai, Thailand. My passport pages are full of stamps and I needed more pages for this year's travel and research on Japanese-USA-PRC-ROK matters.
The US Consulate said my passport is so full that when these latest pages are used, I must buy a new passport.
And when I walked out of the Consulate this morning, with the new passport pages in hand, just outside the security gate, I saw this sign, "Two Nations One Friendship. 180 Years"
If we want to make 190 Years, we need to mind our own business. Thailand must do things the Thai way, and American needs to learn when to shut up.
วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558
นายโฮเซ มูฮิกา ประธานาธิบดีผู้พอเพียงแห่ง อุรุกวัย
............................................
ชีวิตที่แสนเรียบง่ายและความจริงที่ว่านายมูฮิกาบริจาคเงินเดือนซึ่งตกเดือนละ12,000ดอลลาร์สหรัฐกว่าร้อยละ 90 เพื่อมอบให้การกุศล ซึ่งนี่เองที่ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
นายมูฮิกาเปิดเผยว่า เขาใช้ชีวิตเช่นนี้มานานแล้ว นั่งพักผ่อนบนเก้าอี้เก่าๆในสวน หรือไม่ก็นั่งบนโซฟาที่เจ้ามานูเอลลาโปรดปราน
"ผมพอใจในสิ่งที่ผมมี"
เงินที่เขาบริจาค ซึ่งมอบให้แก่คนยากจนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก ทำให้เขามีชีวิตอยู่ด้วยรายได้ที่เทียบกับค่าเฉลี่ยของรายได้ต่อเดือนของชาวอุรุกวัย ที่ราว 755 ดอลลาร์ (23,405 บาท)
ในปี2010 การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินประจำปีของคณะรัฐบาลอุรุกวัยพบว่านายมูฮิกามีทรัพย์สินมูลค่า1,800ดอลลาร์ (ราว 55,800 บาท)ซึ่งก็คือราคาของรถเต่าโฟล์กสวาเกนของเขา ที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 1987
ส่วนในปีนี้ เขาบวกทรัพย์สินของภรรยาไปด้วย ซึ่งประกอบด้วยที่ดิน รถแทรกเตอร์ และบ้าน รวมแล้ว เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 215,000 ดอลลาร์ (ราว 6,665,000 บาท) อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2 ใน 3 ของทรัพย์สินทั้งหมดของรองประธานาธิบดีดานิลโล แอสโทรี และคิดเป็น 1 ใน 3 ของทรัพย์สินของอดีตประธานาธิบดีทาบาเร วาสเกส
นายมูฮิกา ได้รับการเลือกตั้งเมื่อปี 2009 เขาใช้เวลาในยุค 1960 และ 1970 ในฐานะสมาชิกกลุ่มกองโจรทูปามารอส กองกำลังติดอาวุธฝ่ายซ้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติในคิวบา เขาเคยถูกยิง 6 ครั้ง และถูกจำคุก 14 ปี สภาพในระหว่างการถูกคุมขังเต็มไปด้วยความยากลำบากและโดดเดี่ยว กระทั่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 1985 เมื่ออุรุกวัยกลับสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย
นายมูฮิกา เผยว่าในช่วงหลายปีระหว่างการถูกคุมขัง ช่วยทำให้มุมมองต่อชีวิตของเขาได้รับการขัดเกลา
เขากล่าวว่า การได้รับฉายาว่าประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองจน คนจนคือคนที่ต้องทำงานหนักเพื่อตอบสนองรสนิยมอันหรูหราของตน และมีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด
สำหรับเขา "สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ คือการได้มีอิสระเสรี เพราะหากคุณไม่ได้ครอบครองสิ่งใดมากมาย คุณก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มแรงกายแรงใจเยี่ยงกรรมกรเพื่อหามันมาครอบครอง และยิ่งไปกว่านั้น คุณยังมีเวลาเป็นของตนเองด้วย"
"ผมอาจเป็นคนแก่ที่ดูประหลาด แต่นี่เป็นวิถีที่เป็นอิสระ"
ผู้นำอุรุกวัย กล่าวถึงในประเด็นเดียวกันนี้ ในการกล่าว ณ ที่ประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อม ริโอ+20 เมื่อเดือนมิถุนายน ว่าหลายประเทศต่างพูดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน
"แต่เรากำลังคิดอะไรอยู่? เราต้องการรูปแบบการพัฒนาและการบริโภคของประเทศร่ำรวยเช่นนั้นหรือ? ผมขอถามคุณว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ หากชาวอินเดียมีสัดส่วนการครอบครองรถต่อครัวเรือนเท่าเยอรมนี? แล้วเราจะเหลืออ็อกซิเจนไว้หายใจอีกเท่าไหร่?"
"โลกใบนี้มีทรัพยากรเพียงพอ เพื่อที่จะตอบสนองให้คน 7 หรือ 8 พันล้านคน มีระดับการบริโภคและการสร้างขยะที่เท่าเทียมกับประเทศร่ำรวยหรือไม่? และนี่เป็นระดับการบริโภคที่เกินจำเป็นที่กำลังทำร้ายโลกของเรา
นายมูฮิกา กล่าวตำหนิผู้นำของโลกส่วนใหญ่ ที่มีความเชื่อที่ผิดๆว่า การสร้างการเติบโต คือการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งในทางตรงกันข้าม จะนำไปสู่จุดจบของโลก
...................................
คุณคิดว่าประเทศเราจะมีนักการเมืองอย่างนี้บ้างไหม?
วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558
นายดอน ปรมัตถ์วินัย ตอกกับ มะกัน
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังเชิญ นายแพทริค เมอร์ฟี่มาพบที่กระทรวงการต่างประเทศว่า
"มีบางเรื่องที่ทางการไทยผิดหวังซึ่งเป็นเสียงสะท้อนของคนไทยที่รู้สึกเกิดบาดแผลในใจจากการมาเยือนดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องการที่นายรัสเซลไปบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะช่วงท้ายที่พูด เป็นการพูดเรื่องการเมือง แทนที่จะใช้โอกาสนั้นพูดเรื่องที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ เพราะการพูดดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์จนตกเป็นข่าวที่ไม่ดีงามต่อภาพลักษณ์ประเทศ จึงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมาก ถือเป็นการแทรกแซงการเมืองไทย"
อ่านเพิ่ม.....
http://politic.tnews.co.th/content/126604/
อเมริกา มาจุ้นจ้านกับไทยทำไม
เป็นข้อมูลที่หน้าสนใจ เอาไว้อ่านและคิดตามกันครับ......
............................
นายสนธิ ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดจากน้ำมัน โดยอธิบายว่าสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคย ทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือขายหุ้นให้เทมาเส็ก และไปร่วมเจรจากับประเทศต่างๆ เป็นเรื่องพลังงานทั้งสิ้น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรมีความหมายทางเศรษฐกิจเท่ากับน้ำมัน โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกที่ใช้น้ำมันในการพัฒนาอุตสาหกรรม ความกินดีอยู่ดีของคนตะวันตกจึงขึ้นกับการพึ่งพาแหล่งน้ำมัน ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง ทำให้ประเทศตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองในตะวันออกกลาง
โดยในปี 2499 นายกโมซาเด็กของอิหร่านที่รักชาติได้ยึดบ่อน้ำมันของบริษัทต่างชาติมาเป็นของอิหร่านแล้วจ่ายค่าชดเชยให้ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษจึงหาทางล้มรัฐบาลนายโมซาเด็กแล้วให้ซีไอเอและสายลับเอ็มไอ6โค่นล้มนายโมซาเด็กลงแล้วให้พระเจ้าชาห์ขึ้นมาปกครองประเทศและคืนบ่อน้ำมันให้บริษัทต่างชาติตามเดิม
ส่วนที่ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 50 ของตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 70 ของทั้งโลก สหรัฐอเมริกาได้จับมือเซ็นสัญญาซื้อน้ำมันระยะยาว และรับประกันราคานำมันให้ โดยสัญญาสิ้นสุด ในปี 2539 โดยก่อนที่จะ สิ้นสุดสัญญานั้น บริษัทน้ำมันเช่น เชฟรอน เอสโซ เชลล์ ได้สำรวจแหล่งน้ำมันทั่วโลก ซึ่งทำให้รู้ว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ยังไม่ขุด เพราะยังสามารถซื้อน้ำมันราคาถูกจากซาอุฯได้ จึงเก็บเป็นความลับเอาไว้
นายสนธิกล่าวต่อว่า บริษัทน้ำมันของต่างชาติ ได้ใช้ดาวเทียมสำรวจน้ำมัน ซึ่งเคยถ่ายภาพบริเวณอ่าวไทยและพบว่าเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ด้วยนำมันที่ไม่น้อยกว่าซาอุดิอาระเบีย แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ เพราะเขาลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นล้านในการสำรวจ ประกอบกับราคามันขณะนั้นยังไม่ขึ้น จนกระทั่งช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ที่น้ำมันขึ้นาคาจากบาร์เรลละ 40 เหรียญเป็น 100 กว่าเหรียญ แล้วตกไป 90 กว่า และจะไม่มีวันต่ำกว่า 80 เหรียญหลังจากนี้ เพราะอาหรับหันไปใช้ราคาทองคำเป็นตัวกำหนดราคา เป็นราคาที่ชาวอาหรับพอใจ ขณะที่บริษัทน้ำมันก็ไม่สนใจว่าผู้ใช้จะเดือดร้อนหรือไม่ รวมถึง ปตท.ที่ขายให้เอกชนไปแล้ว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า บริษัทนำมันมีอิทธิพลสูงมากจนสามารถล้มรัฐบาลชาติไหนก็ได้ที่ไม่ตอบสนองเรื่องพลังงานให้เขา เรื่องนี้มีบทพิสูจน์ นายจอร์จ ดับเลิลยู บุช ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้เพราะอิทธิพลบริษัทน้ำมัน เมื่อขึ้นมาก็ส่งเสริมบริษัทนำมัน บินมาเอเชียก็เพื่อเจรจาเรื่องน้ำมัน
หลังปี 2539 เป็นต้นมาสหรัฐเริ่มเปิดลิ้นชักผลสำรวจแหล่งน้ำมัน ที่เก็บเป็นความลับ ซึ่งในแผนที่ลับจะชี้ว่าที่ใดมีน้ำมันบ้าง เป็นที่ทราบมานานสำหรับคนที่เรียนวิศวปิโตรเลียมว่า ... พื้นที่ใดที่มีแม่น้ำไหลลงทะเล ปากแม่น้ำจะมีน้ำมันมหาศาล ซึ่งไทย กัมพูชา และเวียดนาม มีแม่น้ำโขงไหลลงมา พื้นที่อ่าวไทยทั้งหมด จึงเป็น ขุมทรัพย์มหาศาลของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งฝรั่งรู้มานานแล้ว แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ จนราคาน้ำมันขึ้นมา
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มสนใจน้ำมัน ปี 2547-2548 เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันกระโดดจาก 20 เป็น 30 เหรียญ นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์ร็อดได้บินมาไทย เพราะมีข้อมูลน้ำมันในอ่าวไทย แต่เป็นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เมื่อมาเจรจาขอสัมปทาน แต่จะต้องคุยทั้งไทยและกัมพูชาก่อน ถึงถอยฉากออกไป พร้อมกับทิ้งข้อมูลไว้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ด้วยเหตุนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงคิดที่จะขายชินคอร์ป เพื่อเอาเงินเทมาเส็กมา โดยส่วนหนึ่งจะเอามาลงหุ้น กฟผ.ที่จะแปรรูป ส่วนหนึ่งจะตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย
ทั้งนี้ แหล่งน้ำมันในอ่าวไทยนั้น พื้นที่ที่อยู่ใกล้ฝั่งนั้นเป็นของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน แต่พื้นที่ตรงกลาง ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ จึงถือเป็นพื้นที่ทับซ้อน อย่างไรก็ตามในส่วนของเขมรนั้น เชฟรอน ได้เข้ามาขุดสำรวจ 4 หลุม พบว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 3 หลุม แสดงว่าในอ่าวไทยเต็มไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
เชฟรอนอ้างในรายงานว่า ในหลุมที่ขุดพบมีน้ำมันประมาณ 1 ล้านล้านบาร์เรล แต่เว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันบอกว่า ตามธรรมดาแล้วบริษัทน้ำมัน ที่ไปรับสัมปทานในประเทศโลกที่ 3 จะโกหก โดยข้อเท็จริงจะมีกว่าที่บอกประมาณ 50-100 เท่า เพราะเขาไม่ต้องการให้รู้ว่ามีประมาณมากขนาดนั้น
“ วิธีการของมันที่ทำ คือ ส่วนที่ขุดออกมา มันก็ส่งออกและจ่ายค่าสัมปทาน แต่ส่วนหนึ่งมันก็ทำแบบที่ ปตท.ก็ทำอยู่ คือเอาเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบมารับจากท่อขุดเจาะโดยตรง แล้วเอาไปขาย "
“อีกจุดที่มีน้ำมันเยอะ ถ้าลากเส้นจากจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี ตรงดิ่งเข้าไปในทะเลประมาณ 120 กิโลเมตรเป็นแหล่งนำมันมหาศาล ที่ยังไม่มีใครรู้ นี่ไง 3 จังหวัดภาคใต้จึงยังไม่สงบ เหมือนติมอร์ ที่แยกไปจากอินโดนีเซีย เพราะมันมีน้ำมัน กีษซธรรมชาติ แร่ดีบุก ทองคำ และพลาตินั่ม คนที่สนับสุนหิ้ตมอร์แยกตัวออกไปคือใคร คือ ออสเตรเลีย แล้วบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันในติมอร์ และผูกขาดทำเหมืองก็คือออสเตรเลียทั้งหมด เหมือนกับอาเจะห์แหล่งน้ำมันใหญ่ อีกแห่ง "
" การทำให้ 3 จังหวัดภาคใต้วุ่นวายตลอด เป็นความพยายามให้ 3 จังหวัดประกาศตนเป็นอิสระ โดยมีบริษัทน้ำมันสนับสนุน เพื่อพวกมันจะได้เข้าไปฮุบผลประโยชน์ ที่ 3 จังหวัดมีสิทธิ ตามระยะเข็มไมล์ ตามกฎหมายทางทะเล ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ที่เราทะเลาะกับเขมร ตอนนี้มีตัวเล่นเพิ่มคือ จีน
ที่พัฒนาตัวเองในรอบ 15 ปีมานี้จนร่ำรวยและเติบโตมหาศาล แต่เริ่มเดินไม่ออก เพราะเริ่มขาดแคลนน้ำมัน จากเดิมที่มีบ่อน้ำมันที่ต้าชิงและส่งออก ตอนนี้ต้องนำเข้า ต้องค้าขายกับอิหร่านเพิ่ม และออกไปลงทุนทำบ่อน้ำมันในอาฟกานิสถาน ไปสนับสนุนรัฐบาลพม่า เพราะมีแหล่งก๊าซฯ
ส่วนที่ต้องมาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร เพราะถ้าลากเส้นไป ก็จะกินพื้นที่เข้าไปในเขตทับซ้อน มีการสร้างถนนจาก สีหนุวิลล์ วิ่งไปทางเขาวิหาร และทะลุไปคุนหมิง ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นทางรถวิ่ง แต่เป็นแนวท่อส่งน้ำมันไปให้จีน สหรัฐจึงเข้ามาขวาง เพราะกลัวจีนจะแผ่อิทธิพล ถึงขนาดลงไว้ในยุทธศาสตร์ความมั่นของสหรัฐฯว่า
"ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาคือจีน"
ในที่สุดเขมรก็จะเป็นประเทศที่มีก๊าซธรรมชาติ มีแหล้งพลังงานเยอะ และกำลังให้บริษัทฝรั่งมาตรวจสอบแหล้งก๊าซฯ และน้ำมันที่มีอยู่ในทะเลสาบ ที่เขมรจับปลามาทำปลากรอบ นั่นคือแหล่งก๊าซและน้ำมัน
แต่ไม่ต้องห่วง เขมรจะมีน้ำมันมากแค่ไหน ก็จะเหมือนไนจีเรีย ซึ่งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เจอน้ำมันแต่ให้ต่างชาติรับประโยชน์ไป 600,000 ล้านเหรียญ ขณะนี้คนไนจีเรียกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ยังยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวกิน
“เขมรก็จะเป็นแบบนั้น เพราะมันมีรัฐบาลและนายกฯ ที่ชาติชั่ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเขมร มันเป็นประเทศถูกสาบ ไม่ถูกสาบได้ไง ขนาดพระสังฆราชยังเล่นของ แล้วจะเจริญได้อย่างไร เราไม่ต้องไปกลัว แต่กำลังชี้ให้เห็นว่า ... การเมืองระหว่างประเทศกำลังมีบทบาทในไทยเรื่องน้ำมัน เมื่อสหรัฐ จีนเข้ามา ฝรั่งเศส ก็เข้ามา ญี่ปุ่นก็เข้ามา กรรมการที่จะมาดูแลพื้นที่เขาพระวิหารที่เป็นมรดกโลก ก็คือ 6 ประเทศที่อยากได้นำมัน”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เขมรได้อนุญาตให้เชฟรอนตั้งแท่นขุดเจาะบนพื้นที่ทับซ้อนกับไทยแล้ว โดยที่เราไม่ได้คัดค้านเลย ต่างจากจีนที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับเวียดนาม แล้วจู่ๆ เวียดนามก็ให้เชฟรอนรับสัมปทาน จีนจึงแจ้งไปว่าพื้นที่นี้เป็นของจีน ถ้าเชฟรอนตั้งแท่นเมื่อไหร่จะส่งเรือไปถล่มทันที เชฟรอนรีบถอยเลย
“ถ้าเรามีรัฐบาลที่รักชาติ มีทหารที่ไม่ห่วงแค่ยศแค่ตำแหน่งกับงบประมาณซื้ออาวุธ ถ้ามันห่วงทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย มันต้องขยับแล้ว ต้องแจ้งเชฟรอน ว่าตรงที่แท่นคุณไปตั้ง..มันของผม ถึงเขมรบอกเป็นของเขาก็ตาม เมื่อไหร่ที่คุณลงเสา ผมเอาปืนยิงเลย แต่มันทำไหม ? มันไม่ทำ เพราะมันเป็นรัฐบาลขายชาติ
นี่ไง เรามาสู้เพื่ออะไร เข้าใจหรือยัง ทรัพยากรนี้คือสินทรัพย์ของแผ่นดิน ที่เราต้องมาบริหารจัดการเพื่อคนไทย 64 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อโคตรใครบางคนที่อยู่ลอนดอน และไม่ใช่เพื่อโคตรของคนตาเหล่ ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่มีหมายความหลาย ๆ อย่างมากมาย มหาศาล ถ้าเราเอาเรือปืนเราไปไล่เชฟรอน ทั้งอเมริกา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ก็ต้องถอย เพราะคิดว่าไทยเอาจริง และมาคุยกับไทยดีกว่า เมื่อมาคุยกับไทย เราก็ต้องมีเงื่อนไขว่าฮุนเซนจะไปซี้ซั้วให้ใครไมได้ ให้เมื่อไหร่ยิงเมื่อนั้น ฮุนเซนก็ต้องถามเราว่าจะเอายังไงบอกมา เราก็บอกให้เขียนแผนที่กันใหม่ ถ้าไม่ยอม เราก็ไม่ยอม เพราะคนไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวอยู่แล้ว เราทำมาหากิน เรารวยกว่าเขมรมาก
แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องเอาบริษัทขายชาติมาเป็นของเรา นั่นคือ ปตท. ที่มันขายชาติ มันมีแผนที่ข้อมูลหมด ว่าที่ไหนมีน้ำมัน แต่เก็บไว้เอง แล้วทำมาหารับประทานกับบริษัทน้ำมันและก๊าซฯ ของฝรั่งต่างชาติ จนผู้บริหารร่ำรวย ซึ่งถ้ามีอำนาจจะยึคทรัพย์ผู้บริหาร ปตท.ทั้งหมด
“นายประเสริฐ บุญสมพันธ์ พูดอย่างภาคภูมิใจว่า ปตท.ร่ำรวย ยอดขายเท่านั้นเท่านี้ เป็นบริษัทอันดับหนึ่งของไทย แต่ทุกอย่างที่เอาไปแปรรูปนั้นล้วนแต่เป็นของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ของคุณ ทุกอย่างเป็นของชาติ แม้แต่ท่อส่งก๊าซ ศาลปกครองก็ส่งให้เป็นของรัฐ แล้วคุณก็ไปบีบเพื่อให้ได้เช่าท่อก๊าซในราคาถูก ซึ่งถ้ามีการเมืองใหม่ เราไม่ยอมเด็ดขาด”
ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับน้ำมัน เราต้องมีการเมืองใหม่ที่เจรจาเป็น ไม่ใช่ การเมืองของนายกฯ เลขานายก ประธาน ปตท. หรือคนที่อยู่ลอนดอน แต่เป็นของคนไทย 64 ล้านคน เมื่อเป็นเช่นนั้นการเจรจาก็จะไม่ยาก ก็เพราะทุกอย่างเมื่อเจรจาเสร็จ ผลประโยชน์เข้ากระเป๋า 64 ล้านใบ แต่ถ้าเป็นการเมืองของบพวกเขาเอง ก็จะแบ่งผลประโยชน์ระหว่างพวกเขาไม่กี่คนกับบริษัทฝรั่ง เหลือเศษเนื้อติดกระดูก
ให้คนไทย
“ สำหรับผม การเมืองใหม่ที่ต้องมีคือ จะต้องรักษาสินทรัพย์ที่ผมเล่ามา ให้ตกเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ” นายสนธิย้ำ
..................................
http://www.oknation.net/blog/countonme/2008/09/22/entry-1
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000112028
http://democracyinthehouse.blogspot.com/
http://thailand-good-citizen.blogspot.com/
หรืออเมริกา จะโดนท่านประยุทธ์ใช้กฏ อัยการศึกด้วย
นายกฯ ยันไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก หลังผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ห่วงการเเสดงความคิดเห็นทางการเมืองในไทย
วันที่ 27 มกราคม 2558 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ แสดงความห่วงใยและแนะนำให้เลิกกฎอัยการศึก ว่า ถึงแม้ขณะนี้จะมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่ประชาชนก็ยังมีสิทธิเสรีภาพ และได้ให้อิสระกับทุกฝ่าย หากยกเลิกแล้วเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายจะควบคุมอย่างไร พร้อมทั้งยืนยันว่าประชาธิปไตยไม่ได้ตายไปจากประเทศไทย
ขณะเดียวกัน พล.อ. ประยุทธ์ ได้ขอสื่ออย่าให้ความสนใจกรณีที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ หารือกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่า ในเรื่องคดีความต่าง ๆ ต้องยึดตามกฎหมายและตนไม่ได้มีการสั่งทาง สนช. ส่วนการแสดงความเห็นหรือการปลุกระดมต่าง ๆ ในโลกโซเชียลนั้น ทาง คสช. ได้ติดตามอยู่ รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศของบุคคลทางการเมืองก็ให้ทำเรื่องขออนุญาตมา
http://hilight.kapook.com/view/114876
เก็ดเล็กๆเพิ่มเติมครับ.....
....................................
พล.อ.ธนะศักดิ์ ย้อนถามกลับว่า ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองของสหรัฐฯ เป็นแบบไทย มีปัจจัย ปัญหา และข้อจำกัดลักษณะนี้ทางสหรัฐฯจะทำเช่นไร หากไม่มีกฎหมายตัวนี้ โดยนายแดเนียล ไม่สามารถตอบได้ จึงระบุว่า จะขอกลับไปหาข้อมูลก่อน
.....................................
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558
ทำไม สหรัฐอเมริกา ต้องมาจุ้จ้านกับประเทศไทย
เป็นข้อมูลที่หน้าสนใจ เอาไว้อ่านและคิดตามกันครับ......
............................
นายสนธิ ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดจากน้ำมัน โดยอธิบายว่าสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคย ทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือขายหุ้นให้เทมาเส็ก และไปร่วมเจรจากับประเทศต่างๆ เป็นเรื่องพลังงานทั้งสิ้น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรมีความหมายทางเศรษฐกิจเท่ากับน้ำมัน โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกที่ใช้น้ำมันในการพัฒนาอุตสาหกรรม ความกินดีอยู่ดีของคนตะวันตกจึงขึ้นกับการพึ่งพาแหล่งน้ำมัน ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง ทำให้ประเทศตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองในตะวันออกกลาง
โดยในปี 2499 นายกโมซาเด็กของอิหร่านที่รักชาติได้ยึดบ่อน้ำมันของบริษัทต่างชาติมาเป็นของอิหร่านแล้วจ่ายค่าชดเชยให้ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษจึงหาทางล้มรัฐบาลนายโมซาเด็กแล้วให้ซีไอเอและสายลับเอ็มไอ6โค่นล้มนายโมซาเด็กลงแล้วให้พระเจ้าชาห์ขึ้นมาปกครองประเทศและคืนบ่อน้ำมันให้บริษัทต่างชาติตามเดิม
ส่วนที่ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 50 ของตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 70 ของทั้งโลก สหรัฐอเมริกาได้จับมือเซ็นสัญญาซื้อน้ำมันระยะยาว และรับประกันราคานำมันให้ โดยสัญญาสิ้นสุด ในปี 2539 โดยก่อนที่จะ สิ้นสุดสัญญานั้น บริษัทน้ำมันเช่น เชฟรอน เอสโซ เชลล์ ได้สำรวจแหล่งน้ำมันทั่วโลก ซึ่งทำให้รู้ว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ยังไม่ขุด เพราะยังสามารถซื้อน้ำมันราคาถูกจากซาอุฯได้ จึงเก็บเป็นความลับเอาไว้
นายสนธิกล่าวต่อว่า บริษัทน้ำมันของต่างชาติ ได้ใช้ดาวเทียมสำรวจน้ำมัน ซึ่งเคยถ่ายภาพบริเวณอ่าวไทยและพบว่าเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ด้วยนำมันที่ไม่น้อยกว่าซาอุดิอาระเบีย แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ เพราะเขาลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นล้านในการสำรวจ ประกอบกับราคามันขณะนั้นยังไม่ขึ้น จนกระทั่งช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ที่น้ำมันขึ้นาคาจากบาร์เรลละ 40 เหรียญเป็น 100 กว่าเหรียญ แล้วตกไป 90 กว่า และจะไม่มีวันต่ำกว่า 80 เหรียญหลังจากนี้ เพราะอาหรับหันไปใช้ราคาทองคำเป็นตัวกำหนดราคา เป็นราคาที่ชาวอาหรับพอใจ ขณะที่บริษัทน้ำมันก็ไม่สนใจว่าผู้ใช้จะเดือดร้อนหรือไม่ รวมถึง ปตท.ที่ขายให้เอกชนไปแล้ว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า บริษัทนำมันมีอิทธิพลสูงมากจนสามารถล้มรัฐบาลชาติไหนก็ได้ที่ไม่ตอบสนองเรื่องพลังงานให้เขา เรื่องนี้มีบทพิสูจน์ นายจอร์จ ดับเลิลยู บุช ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้เพราะอิทธิพลบริษัทน้ำมัน เมื่อขึ้นมาก็ส่งเสริมบริษัทนำมัน บินมาเอเชียก็เพื่อเจรจาเรื่องน้ำมัน
หลังปี 2539 เป็นต้นมาสหรัฐเริ่มเปิดลิ้นชักผลสำรวจแหล่งน้ำมัน ที่เก็บเป็นความลับ ซึ่งในแผนที่ลับจะชี้ว่าที่ใดมีน้ำมันบ้าง เป็นที่ทราบมานานสำหรับคนที่เรียนวิศวปิโตรเลียมว่า ... พื้นที่ใดที่มีแม่น้ำไหลลงทะเล ปากแม่น้ำจะมีน้ำมันมหาศาล ซึ่งไทย กัมพูชา และเวียดนาม มีแม่น้ำโขงไหลลงมา พื้นที่อ่าวไทยทั้งหมด จึงเป็น ขุมทรัพย์มหาศาลของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งฝรั่งรู้มานานแล้ว แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ จนราคาน้ำมันขึ้นมา
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มสนใจน้ำมัน ปี 2547-2548 เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันกระโดดจาก 20 เป็น 30 เหรียญ นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์ร็อดได้บินมาไทย เพราะมีข้อมูลน้ำมันในอ่าวไทย แต่เป็นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เมื่อมาเจรจาขอสัมปทาน แต่จะต้องคุยทั้งไทยและกัมพูชาก่อน ถึงถอยฉากออกไป พร้อมกับทิ้งข้อมูลไว้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ด้วยเหตุนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงคิดที่จะขายชินคอร์ป เพื่อเอาเงินเทมาเส็กมา โดยส่วนหนึ่งจะเอามาลงหุ้น กฟผ.ที่จะแปรรูป ส่วนหนึ่งจะตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย
ทั้งนี้ แหล่งน้ำมันในอ่าวไทยนั้น พื้นที่ที่อยู่ใกล้ฝั่งนั้นเป็นของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน แต่พื้นที่ตรงกลาง ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ จึงถือเป็นพื้นที่ทับซ้อน อย่างไรก็ตามในส่วนของเขมรนั้น เชฟรอน ได้เข้ามาขุดสำรวจ 4 หลุม พบว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 3 หลุม แสดงว่าในอ่าวไทยเต็มไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
เชฟรอนอ้างในรายงานว่า ในหลุมที่ขุดพบมีน้ำมันประมาณ 1 ล้านล้านบาร์เรล แต่เว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันบอกว่า ตามธรรมดาแล้วบริษัทน้ำมัน ที่ไปรับสัมปทานในประเทศโลกที่ 3 จะโกหก โดยข้อเท็จริงจะมีกว่าที่บอกประมาณ 50-100 เท่า เพราะเขาไม่ต้องการให้รู้ว่ามีประมาณมากขนาดนั้น
“ วิธีการของมันที่ทำ คือ ส่วนที่ขุดออกมา มันก็ส่งออกและจ่ายค่าสัมปทาน แต่ส่วนหนึ่งมันก็ทำแบบที่ ปตท.ก็ทำอยู่ คือเอาเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบมารับจากท่อขุดเจาะโดยตรง แล้วเอาไปขาย "
“อีกจุดที่มีน้ำมันเยอะ ถ้าลากเส้นจากจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี ตรงดิ่งเข้าไปในทะเลประมาณ 120 กิโลเมตรเป็นแหล่งนำมันมหาศาล ที่ยังไม่มีใครรู้ นี่ไง 3 จังหวัดภาคใต้จึงยังไม่สงบ เหมือนติมอร์ ที่แยกไปจากอินโดนีเซีย เพราะมันมีน้ำมัน กีษซธรรมชาติ แร่ดีบุก ทองคำ และพลาตินั่ม คนที่สนับสุนหิ้ตมอร์แยกตัวออกไปคือใคร คือ ออสเตรเลีย แล้วบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันในติมอร์ และผูกขาดทำเหมืองก็คือออสเตรเลียทั้งหมด เหมือนกับอาเจะห์แหล่งน้ำมันใหญ่ อีกแห่ง "
" การทำให้ 3 จังหวัดภาคใต้วุ่นวายตลอด เป็นความพยายามให้ 3 จังหวัดประกาศตนเป็นอิสระ โดยมีบริษัทน้ำมันสนับสนุน เพื่อพวกมันจะได้เข้าไปฮุบผลประโยชน์ ที่ 3 จังหวัดมีสิทธิ ตามระยะเข็มไมล์ ตามกฎหมายทางทะเล ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ที่เราทะเลาะกับเขมร ตอนนี้มีตัวเล่นเพิ่มคือ จีน
ที่พัฒนาตัวเองในรอบ 15 ปีมานี้จนร่ำรวยและเติบโตมหาศาล แต่เริ่มเดินไม่ออก เพราะเริ่มขาดแคลนน้ำมัน จากเดิมที่มีบ่อน้ำมันที่ต้าชิงและส่งออก ตอนนี้ต้องนำเข้า ต้องค้าขายกับอิหร่านเพิ่ม และออกไปลงทุนทำบ่อน้ำมันในอาฟกานิสถาน ไปสนับสนุนรัฐบาลพม่า เพราะมีแหล่งก๊าซฯ
ส่วนที่ต้องมาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร เพราะถ้าลากเส้นไป ก็จะกินพื้นที่เข้าไปในเขตทับซ้อน มีการสร้างถนนจาก สีหนุวิลล์ วิ่งไปทางเขาวิหาร และทะลุไปคุนหมิง ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นทางรถวิ่ง แต่เป็นแนวท่อส่งน้ำมันไปให้จีน สหรัฐจึงเข้ามาขวาง เพราะกลัวจีนจะแผ่อิทธิพล ถึงขนาดลงไว้ในยุทธศาสตร์ความมั่นของสหรัฐฯว่า
"ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาคือจีน"
ในที่สุดเขมรก็จะเป็นประเทศที่มีก๊าซธรรมชาติ มีแหล้งพลังงานเยอะ และกำลังให้บริษัทฝรั่งมาตรวจสอบแหล้งก๊าซฯ และน้ำมันที่มีอยู่ในทะเลสาบ ที่เขมรจับปลามาทำปลากรอบ นั่นคือแหล่งก๊าซและน้ำมัน
แต่ไม่ต้องห่วง เขมรจะมีน้ำมันมากแค่ไหน ก็จะเหมือนไนจีเรีย ซึ่งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เจอน้ำมันแต่ให้ต่างชาติรับประโยชน์ไป 600,000 ล้านเหรียญ ขณะนี้คนไนจีเรียกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ยังยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวกิน
“เขมรก็จะเป็นแบบนั้น เพราะมันมีรัฐบาลและนายกฯ ที่ชาติชั่ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเขมร มันเป็นประเทศถูกสาบ ไม่ถูกสาบได้ไง ขนาดพระสังฆราชยังเล่นของ แล้วจะเจริญได้อย่างไร เราไม่ต้องไปกลัว แต่กำลังชี้ให้เห็นว่า ... การเมืองระหว่างประเทศกำลังมีบทบาทในไทยเรื่องน้ำมัน เมื่อสหรัฐ จีนเข้ามา ฝรั่งเศส ก็เข้ามา ญี่ปุ่นก็เข้ามา กรรมการที่จะมาดูแลพื้นที่เขาพระวิหารที่เป็นมรดกโลก ก็คือ 6 ประเทศที่อยากได้นำมัน”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เขมรได้อนุญาตให้เชฟรอนตั้งแท่นขุดเจาะบนพื้นที่ทับซ้อนกับไทยแล้ว โดยที่เราไม่ได้คัดค้านเลย ต่างจากจีนที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับเวียดนาม แล้วจู่ๆ เวียดนามก็ให้เชฟรอนรับสัมปทาน จีนจึงแจ้งไปว่าพื้นที่นี้เป็นของจีน ถ้าเชฟรอนตั้งแท่นเมื่อไหร่จะส่งเรือไปถล่มทันที เชฟรอนรีบถอยเลย
“ถ้าเรามีรัฐบาลที่รักชาติ มีทหารที่ไม่ห่วงแค่ยศแค่ตำแหน่งกับงบประมาณซื้ออาวุธ ถ้ามันห่วงทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย มันต้องขยับแล้ว ต้องแจ้งเชฟรอน ว่าตรงที่แท่นคุณไปตั้ง..มันของผม ถึงเขมรบอกเป็นของเขาก็ตาม เมื่อไหร่ที่คุณลงเสา ผมเอาปืนยิงเลย แต่มันทำไหม ? มันไม่ทำ เพราะมันเป็นรัฐบาลขายชาติ
นี่ไง เรามาสู้เพื่ออะไร เข้าใจหรือยัง ทรัพยากรนี้คือสินทรัพย์ของแผ่นดิน ที่เราต้องมาบริหารจัดการเพื่อคนไทย 64 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อโคตรใครบางคนที่อยู่ลอนดอน และไม่ใช่เพื่อโคตรของคนตาเหล่ ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่มีหมายความหลาย ๆ อย่างมากมาย มหาศาล ถ้าเราเอาเรือปืนเราไปไล่เชฟรอน ทั้งอเมริกา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ก็ต้องถอย เพราะคิดว่าไทยเอาจริง และมาคุยกับไทยดีกว่า เมื่อมาคุยกับไทย เราก็ต้องมีเงื่อนไขว่าฮุนเซนจะไปซี้ซั้วให้ใครไมได้ ให้เมื่อไหร่ยิงเมื่อนั้น ฮุนเซนก็ต้องถามเราว่าจะเอายังไงบอกมา เราก็บอกให้เขียนแผนที่กันใหม่ ถ้าไม่ยอม เราก็ไม่ยอม เพราะคนไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวอยู่แล้ว เราทำมาหากิน เรารวยกว่าเขมรมาก
แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องเอาบริษัทขายชาติมาเป็นของเรา นั่นคือ ปตท. ที่มันขายชาติ มันมีแผนที่ข้อมูลหมด ว่าที่ไหนมีน้ำมัน แต่เก็บไว้เอง แล้วทำมาหารับประทานกับบริษัทน้ำมันและก๊าซฯ ของฝรั่งต่างชาติ จนผู้บริหารร่ำรวย ซึ่งถ้ามีอำนาจจะยึคทรัพย์ผู้บริหาร ปตท.ทั้งหมด
“นายประเสริฐ บุญสมพันธ์ พูดอย่างภาคภูมิใจว่า ปตท.ร่ำรวย ยอดขายเท่านั้นเท่านี้ เป็นบริษัทอันดับหนึ่งของไทย แต่ทุกอย่างที่เอาไปแปรรูปนั้นล้วนแต่เป็นของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ของคุณ ทุกอย่างเป็นของชาติ แม้แต่ท่อส่งก๊าซ ศาลปกครองก็ส่งให้เป็นของรัฐ แล้วคุณก็ไปบีบเพื่อให้ได้เช่าท่อก๊าซในราคาถูก ซึ่งถ้ามีการเมืองใหม่ เราไม่ยอมเด็ดขาด”
ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับน้ำมัน เราต้องมีการเมืองใหม่ที่เจรจาเป็น ไม่ใช่ การเมืองของนายกฯ เลขานายก ประธาน ปตท. หรือคนที่อยู่ลอนดอน แต่เป็นของคนไทย 64 ล้านคน เมื่อเป็นเช่นนั้นการเจรจาก็จะไม่ยาก ก็เพราะทุกอย่างเมื่อเจรจาเสร็จ ผลประโยชน์เข้ากระเป๋า 64 ล้านใบ แต่ถ้าเป็นการเมืองของบพวกเขาเอง ก็จะแบ่งผลประโยชน์ระหว่างพวกเขาไม่กี่คนกับบริษัทฝรั่ง เหลือเศษเนื้อติดกระดูก
ให้คนไทย
“ สำหรับผม การเมืองใหม่ที่ต้องมีคือ จะต้องรักษาสินทรัพย์ที่ผมเล่ามา ให้ตกเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ” นายสนธิย้ำ
..................................
http://www.oknation.net/blog/countonme/2008/09/22/entry-1
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000112028
http://democracyinthehouse.blogspot.com/
http://thailand-good-citizen.blogspot.com/
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจเข้าข่ายผู้ที่มีคุณสมบัติต้องห้ามลงสมัครรับการเลือก
25 ม.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายเจ
..........................
http://www.prachatai.com/
..........................
นายคำนูณ สิทธิสมาน สปช. และโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่าง
..........................
http://
..........................
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558
ปปช.ฟ้องค่าเสียหาย 6 แสนล้าน จีทูจี เก๊
เมื่อวันที่ 20 ม.ค.นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แถลงถึงมติของคณะกรรมการป.ป.ช.ในการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวพร้อมกับตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
จากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องการทำสัญญาซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐจำนวน 6.5 หมื่นตันวงเงิน 847 ล้านบาท รับฟังได้ว่า
1.นายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมช.พาณิชย์ และประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว
2.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์ และประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว
3.พันตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการและเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการรมว.พาณิชย์
4.นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
5.นายทิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศและรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
6.นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรม และผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ
7.นายสมคิด เอื้อนสุภา
8.นายรัฐนิธ โสจิระกุล
9.นายลิตร พอใจ ผู้รับมอบอำนาจชำระเงินและผู้รับมอบอำนาจข้าว
10.บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด
11.น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง ในฐานะกรรมการบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด
12.น.ส.สุธิดา จันทะเอ ในฐานะกรรมการบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด
13.น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ ในฐานะกรรมการบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด
14.นายโจ หรือนิมล รักดี
15.นายสุธี เชื่อมไธสง
16.น.ส.สุนีย์ จันทร์สกุลพร
17.นายกฤษณะ สุระมนต์
18.นายสมยศ คุณจักร
19.บริษัทสิราลัย จำกัด หรือ บริษัทกีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
20.น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร ในฐานะกรรมการบริษัทสิราลัย จำกัด และ
21.นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร
ได้ร่วมกันกระทำความผิด ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำงานโดยช่วยเหลือ มุ่งหมาย และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท Guangdong stationery & sporting goods imp. & exp. Corp และบริษัท Hainan grain and oil industrial trading company ซึ่งมิได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เข้ามาทำสัญญาซื้อขาย แต่ให้มีสิทธิเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่นแล้วนำข้าวที่ซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดราคาขายภายในประเทศ หรือต่ำกว่าราคาที่ฝ่ายไทยเสนอ หรือต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ นำไปขายต่อให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศ หรือนำไปให้บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง ก่อให้เกิดความเสียแก่กรมการค้าต่างประเทศและประเทศชาติอย่างร้ายแรง
คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว
มีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวข้างต้นร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 และให้ส่งรายงาน เอกสารและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาตามฐานความผิดดังกล่าวข้างต้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 มาตรา 92 และมาตรา 97 แล้วแต่กรณีเพื่อส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนผู้กระทำความผิดที่เป็นข้าราชการจะส่งให้หน่วยงานต้นสังกัดเอาผิดทางวินัยด้วย สำหรับผู้ถูกกล่าวรายอื่นนั้นให้คณะอนุกรรมการไต่สวน ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็วต่อไป
พร้อมกันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเพิ่มเติมดังนี้
1.ให้นำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องการกล่าวหานี้ ในส่วนของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว และ การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้สำนักงานป.ป.ช.ได้ดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าในการยุติธรรมตามมาตรา 19 (12) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542
2.สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับบริษัท Guangdong stationery & sporting goods imp. & exp. Corp และบริษัท Hainan grain and oil industrial trading company แจ้งให้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ดำเนินการให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสียหายชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา 73/1 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542
3.แจ้งให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน หรือการชำระภาษีของผู้ถูกกล่าวหา รวมถึงผู้เกี่ยวข้องที่ทำการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คให้กับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ตามมาตรา 103/7 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542
4.กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าการเจรจาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งมีนางปราณี ศิริพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และประธานคณะทำงานดำเนินการระบาข้าวเป็นผู้เสนอ และ มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์ และประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเป็นผู้ให้ความเห็นชอบกับ (1) บริษัท Haikou Liangmao Cereals and Oils Trading Co., Ltd. ปริมาณ 3,000,000 ตัน (2) บริษัท Haikou Liangyunlai Cereals and Oils Trading Co., Ltd. ปริมาณ 2,000,000 ตัน (3) บริษัท Hainan Province Land Reclamation Industrial Development ปริมาณ 4,000,000 ตัน และ (4) บริษัท Hainan Land Reclamation Commerce and Trad Group Co.,Ltd. ปริมาณ 5,000,000 ตันนั้น บริษัทดังกล่าวมิได้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนให้เข้ามาทำสัญญาการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่กระทำไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม อันเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตตามกฎหมายอื่น เห็นควรดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542
5.ให้สำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานว่าในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการซื้อขายมันสำปะหลังในรูปแบบสัญญาซื้อขายรัฐต่อรัฐหรือไม่อย่างไร แล้วนำเสนอคณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
ขณะเดียวกันตามที่คณะทำงานร่วมกันระหว่างอัยการสูงสุดกับคณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อพิจาณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีอาญาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในโครงการรับจำนำข้าว ได้ขอสำนวนคดีการระบายข้าว ทางคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติเห็นชอบให้ส่งสำนวนไปให้คณะทำงานร่วมต่อไป
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ได้รับคำร้องขอความเป็นธรรมจากนายทิฆัมพร และนายอัครพงศ์ ทางป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าท่านทั้งสองคนได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจรจาซื้อขายข้าว และการให้ถ้อยคำก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ถึงขั้นที่ป.ป.ช.จะต้องกันตัวไว้เป็นพยาน ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่ได้กันตัวไว้เป็นพยานแต่อย่างใด ซึ่งจะต้องดำเนินคดีตามรูปคดีต่อไป
http://www.posttoday.com
วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558
สนช. ถอดถอน ปู
ประมาณเวลา 12:35 น.
ข่าวดีที่ 2 ของวัน
จบสิ้นกันที ปู ชินวัฒน์ คงต้องจากกันยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
สาธุ...ขอให้มีจริงๆในรัฐธร
..........................
"บวรศักดิ์ อุวรรณโณ"
ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างร
ทั้งนี้กระบวนการถอดถอนตามท
............1.กรณียังอยู่ใ
............2.กรณีพ้นจากตำ
http://
อัยการสูงสุดแถลงสั่งฟ้อง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
23 ม.ค. 2558
อัยการสูงสุดแถลงสั่งฟ้อง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คดีโครงการรับจำนำข้าว หลังคณะทำงานร่วมอัยการสูงส
......................
"ด่วน! อัยการสูงสุดมีมติสั่งฟ้องย
กระบวนการถอดถอนแค่ส่อว่าทุ
วันนี้คุณยิ่งลักษณ์คงรอดยา
สุริยะใส กตะศิลา
.....................
เพิ่มเติมครับ...
http://www.nationtv.tv/
วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558
คดีทุจริตในการใช้อำนาจ
การถอดถอนมันไม่ใช่เรืองของ
การถอดถอนมันเป็นเรื่องของก
ถ้าไม่มีการถ่วงดุลอำนาจ ประเทศก็จะมีแต่ความยุ่งเหย
......หาก มติ สนช.ไม่ถอดถอน ก็จะเท่ากับเป็นการนิรโทษกร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
องค์การไม่แสวงหาผลกำไร (อังกฤษ: nonprofit organisation หรือย่อว่า NPO) เป็นชื่อเรียกองค์การที่มีจุดมุ่งหมายสนับสนุนกลุ่มที่มีความคิดเห็...
-
ทุกวันนี้ผมยังคงคิดว่าฟุตบาทมันเป็นของส่วนบุคคล โดยมีเจ้าหน้าที่เทศกิจคอยดูแลเก็บค่าที่อยู่ ซึ่งเราจะไประเมิดความเป็นส่วนบุคคลเขาไม่...
-
30 ปีโศกนาฏกรรม'โภปาล' ก๊าซที่รั่วไหลเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2527 จากบริษัทยูเนียน คาร์ไบด์ ซึ่งเป็นโรงงานของสหรัฐ ส่งผลให้เกิดภัย...