วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมื่อร้านค้าถูกคลุกคลาม


จุดเริ่มต้นแก๊งไถเงินครับ
1 เริ่มด้วยการตั้งบริษัทจำกัด แล้วรวบรวมขอซื้ออำนาจดำเนินคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
จากเจ้าของลิขสิทธิ์จริงเท่าที่ทำได้ เช่นเพลง กระเป๋า น้ำหอม เกม การ์ตูน
โดยบริษัทเหล่านี้จะอ้างคุณธรรม ตั้งเพื่อปราบผู้ละเมิดลิขสิทธิ์
2 บริษัทเหล่านี้จะหาตัวแทน(ก็คือการรับพนักงานบริษัทตัวเอง)
3 ตัวแทนเหล่านี้จะหาสมาชิกแบบขายตรงเลยครับ เรียกว่าผู้รับอำนาจช่วง
4 ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองครับ แต่ก็มีโรงพักบางแห่งไม่ให้ความร่วมมือกับพวกโจร
5 เดินสายจับแบบผิดกฎหมายครับทีละจังหวัด ย้ายไปเรื่อย วนเวียนกลับมาทุกๆ 3-6เดือน
6 มีการทำธุรกิจนี้มาหลายปีแล้วครับ ประมาณ 7 ปี
การไถเงินร้านเน็ต ร้านเกม PC
1 ไถแบบจับลิขสิทธิ์ MP3
1.1 หน้าม้าจะแอบมานั่งเล่นแล้วแอบโหลด MP3 ลงเครื่อง
1.2 ตัวแทนลิขสิทธิ์ จะเข้ามาจับโดยไว จ้างตำรวจมาเป็นเพื่อน 2 นายเหมือนเดิมครับ(คนละ500)
1.3 ตัวแทนจะอ้างลิขสิทธิ์เพลง และเรียกเงิน 50000 บาท โดยให้จ่ายกันเองก่อน
1.4 หากรายไหนหัวแข็งจะพาไปโรงพัก โดยตำรวจ100เวรจะกล่อมให้จ่าย (มันจะเลือกแจ้งความเวลาที่100เวร ที่ร่วมแก๊งเข้าเวร)
1.5 จะโดนขู่มากมาย เช่น ประกันเป็น 100000 หรือหากขึ้นศาลจะโดนปรับเป็น แสนๆ
โม้ครับ ประกันจริง 50000 บาท ศาลไม่ปรับครับเจ้าของร้านชนะแน่นอน
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
-อย่าจ่ายเงินเด็ดขาด เพราะคดีนี้เจ้าของร้านชนะแน่นอน เพราะในชั้นศาลไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้ลงMP3
-ปิดร้าน แล้วก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เพราะถ้าลิขสิทธิ์ของแท้จะมีหมายศาลและตำรวจจะพูดแสดงโจ่งแจ้งว่าจับคุณจริง และไม่มีการเรียกเงินค่าไถ่ และประเด็นสำคัญ ลิขสิทธิ์ของแท้ไม่จับคดีกระจอกๆแบบนี้
2 ไถแบบยัดเยียดหัวเกรียนเล่นผิดเวลา หากร้านไหนใช้เกมแท้ทั้งหมดจะเจอไม้นี้แทน มีวิธีดังนี้
2.1 หากร้านไหนเผลอ โจรจะแอบส่งหัวเกรียนอายุน้อยๆ ต่ำกว่า 18 ให้มานั่งเล่นเกินเวลา
2.2 นัดแนะตำรวจมาจับตรงเวลาแป๊ะๆ คือ 22.01น
2.3 ดิ้นไม่รอดครับตำรวจจะไถเงิน 50000 เช่นกัน ถ้าไม่จ่ายโดนจับไปโรงพัก
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
- อย่าให้หัวเกรียนเล่นเกินเวลาห้ามพลาดเด็ดขาด
- ถ้าโดนจับอย่าแอบจ่ายใต้โต๊ะเพราะมันแพง ยอมโดนจับและเตรียมเงินประกันครับ สู้กันในศาล ศาลจะดูเจตนาครับ โดนปรับนิดหน่อย
- ถ้าผิดจริงโดยจงใจให้เด็กเล่นเกินเวลาเพื่อหวังเงิน ขอให้สารภาพตามตรงจ่ายในศาลนะครับ แล้วที่หลังอย่าทำอีก
การไถเงินร้านเกมเพลย์
วิธีหากินมีหลายรูปแบบครับ-
1 ไถแบบจับลิขสิทธิ์เกมในร้าน มีวิธีดังนี้
1.1 คนที่จะหากินในทางนี้จะตรวจดูว่าเกมไหนที่กำลังฮิตและไม่มีลิขสิทธิ์ เมื่อพบจะทำทุกวิถีทางติดต่อกับต่างประเทศเพื่อขอเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์
1.2 ตะเวนจับร้านเกม โดยการเข้าจับใช้ขั้นตอนที่ผิดกฎหมาย โดยจะจ้างตำรวจมา 2นาย ตำรวจได้คนละ500บาท(แต่ตำรวจจะออกตัวว่า มาดูแลความเรียบร้อย)
1.3 เมื่อเข้าจับจะยังไม่เอาผิดตามกฎหมาย แต่จะไถเงินจำนวน 50000 บาทขึ้นไป(ถ้าเอาผิดตามกฎหมายจะได้เงินน้อย เพราะศาลจะให้ชดใช้ตามจำนวนจริง ประมาณ 2000 บาท)
1.4 เหยื่อส่วนใหญ่จะตกใจและกลัว จะยอมจ่ายเงินให้ 5000 บาท หรือต่อรองเหลือ 40000 30000 10000 เมื่อได้เงิน พวกลิขสิทธิ์จะรีบกลับโดยเร็ว
วิธีแก้เบื้องต้น
- อย่ายอมจ่ายเงินทุกๆกรณี เพราะของแท้จะไม่เรียกเงินและของแท้จะไม่มาจับกระจอกๆแบบนี้ครับ
2 ไถแบบยัดเยียดหัวเกรียนเล่นผิดเวลา หากร้านไหนใช้เกมแท้ทั้งหมดจะเจอไม้นี้แทน
..............................................................
ข้อกฎหมาย ที่ต้องรู้ครับ
ล่อซื้อพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 66 บัญญัติว่า ความผิดตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์เป็นความผิดอันยอมความได้ผลทางกฎหมายคือ เจ้าของลิขสิทธิ์จะต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่รู้ตัวผู้กระทำละเมิดและรู้ถึงการละเมิดมิฉะนั้นจะขาดอายุความร้องทุกข์ และการแจ้งความร้องทุกข์จะต้องกระทำโดยผู้เสียหาย หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายจะต้องเป็น
"ผู้เสียหายโดยนิตินัย"
แต่หากผู้เสียหายเป็นผู้มีส่วนร่วม หรือก่อให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีอำนาจฟ้องคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำพิพากษาฎีกาที่ 4301/2543
การที่จำเลยกระทำความผิดโดยทำซ้ำบันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ลงในแผ่นบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้แก่ส. ตามที่ส.ได้ ล่อซื้อนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากการล่อซื้อของส.
ซึ่งได้รับการจ้างให้ล่อซื้อจากโจทก์ เท่ากับโจทก์เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น โจทก์ย่อมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
เพราะฉะนั้น การล่อซื้อและการส่งหน้าม้ามาลงเพลงในคอมพิวเตอร์/การล่อเล่นในกรณีเกมส์เพลย์ จึงเป็นกรณีที่เจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกานี้ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้อง
..........................................................
ข้อย่อยที่ช่วยได้เบื้องต้น ยาวแต่ต้องอ่านนะครับ มันสำคัญทุกข้อครับ
1 จับกุมลิขสิทธิ์ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น ถ้ามาตอนมืด ถึงจะถูกต้องก็ไล่กลับไปได้เลย
2.หากมีคนอ้างเป็นตัวแทน ขอดูบัตรประชาชน ดูใบรับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ดูบัตรของผู้รับมอบจะต้องมีบัตรของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถ้าไม่ให้ดูไล่พวกมันกลับไปได้เลย
3 การล่อเล่นของหน้าม้า เป็นการร่วมกระทำความผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์
4 ร้านคอมฯปฏิเสธไม่ให้ตรวจเครื่องคอมฯได้นะครับถ้ามันไม่มีหมายค้น ในส่วนของตัวร้าน(สาธารณสถาน)อยากตรวจก็ให้ตรวจไป แต่เครื่องคอมฯไม่ใช่สาธารณสถานเรามีสิทธิปฏิเสธไม่เปิดให้ตรวจสอบได้
5 ตัวแทนลิขสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์อธิบายขั้นตอนการจับกุม กฎหมายเขียนชัดเจนให้เป็นหน้าที่ของตำรวจชุดจับกุมให้เป็นผู้จัดทำบันทึกการจับกุม ไม่มีกฎหมายให้อำนาจราษฎรทำ เป็นข้อต่อสู้ของจำเลยข้อหนึ่งได้ว่ามันมั่วนิ่มไม่รู้กฎหมายแล้วมาจับ
6 ราษฎรก็จะช่วยตำรวจจับไม่ได้แม้ตำรวจจะขอให้ช่วยจับ เพราะ ตำรวจจะขอให้ราษฎรช่วยจับได้ต้องเป็นผู้จัดการตามหมายจับเท่านั้น(เช่น โจรที่มีหมายจับ) แต่การจับละเมิดลิขสิทธิ์ในความผิดซึ่งหน้าไม่ใช่การจัดการตามหมายจับ เราจึงมีสิทธิป้องกันการจับกุมอันมิชอบด้วยกฎหมายทั้งปวงกับราษฎรที่มาช่วย
จับได้ตามสมควร(ต่อสู้ป้องกันตามสมควร อย่าให้ถึงตายนะครับ แบบนั้นติดคุกฐานฆ่าคนตาย ควรใช้กระบองป้องกันตัว)ไม่มีความผิดทางอาญาใดๆ
7 การล่อเล่น ไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจ ราษฎรก็ล่อเล่นได้ (แต่การล่อเล่นในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ถือเป็นการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ศาลจะยกฟ้อง) เหมือนข้อ3
8 จะเป็นความผิดซึ่งหน้า ต้องดูที่ลักษณะของการกระทำ ไม่ใช่ดูที่ตัวผู้ล่อเล่นว่าเป็นตำรวจหรือไม่เป็นตำรวจ ความผิดซึ่งหน้า หมายถึง ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการใด ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 80)
9 ดูที่ประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญามาตรา 79 ราษฎรก็สามารถจับความผิดซึ่งหน้าได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แต่ต้องเป็นความผิดบางประเภทเท่านั้น (คือความผิดที่บัญญัติไว้ท้ายประมวลป.วิอาญา) เช่น ฐานฆ่าคนตาย เป็นต้น แต่ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่ความผิดท้ายประมวลฯ ราษฎรจึงจับไม่ได้แม้เห็นความผิดเกิดขึ้นซึ่งหน้า
10 การละเมิดลิขสิทธิ์ต้องเกิดซึ่งหน้าตำรวจเท่านั้นเช่นนั่งไลท์แผ่นต่อหน้าต่อตาตำรวจตำรวจ
จึงจะมีอำนาจจับกุม (และต้องมีการแจ้งความแล้ว ถ้ายังไม่แจ้งความก็ไม่มีสิทธิ์จับในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์)
ถ้าการละเมิดเกิดต่อหน้าตัวแทนบริษัท(หน้าม้า) แม้จะถ่ายรูปไว้ ถ้าขณะนั้นตำรวจไม่ได้เห็นด้วย(ตำรวจอยู่นอกร้าน-มาทีหลัง) ก็ไม่มีอำนาจจับกุมครับ
11 การค้นในที่รโหฐาน เช่น ส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย ต้องมีหมายค้น ถ้าเข้าไปยึดแผ่นเโดยไม่มีหมาย
ก็เป็นการค้นที่ไม่ชอบ ทรัพย์สินที่ยึดไปไม่สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ต้องห้ามตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้น ถ้าขึ้นศาลก็จะไม่มีพยานหลักฐานนำสืบแสดงว่าเราทำผิด (แม้เราละเมิดจริง แต่เมื่อไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเราทำผิด เพราะหลักฐานที่ยึด ได้มาจากการค้นที่ไม่ชอบ) ศาลจะยกฟ้อง
12 หลัก ตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งศาลไม่ได้(ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอ
าญามาตรา78) ข้อยกเว้น จะจับโดยไม่มีหมายจับก็ได้ เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า และเหตุอื่นตามที่กฎหมายกำหนด (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 80) คดีละเมิดลิขสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์จับ
แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เช่นคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายหรือตัวแทนเสียก่อน ตำรวจจึงจะมีอำนาจจับ ดังนั้น ถ้ายังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ อำนาจจับกุมก็ยังไม่เกิด แม้จะมีการละมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นต่อหน้าตำรวจ ตำรวจก็จับไม่ได้
.....................................................
การเอาผิดกลับ
ปัจจุบันโทษรุนแรงเพียงพอแล้วครับ เพียงแต่พวกเราไม่มีใครเอาจริงเท่านั้น
เพราะถ้ามั่วนิ่มมา เราก็สามารถเอาผิดได้ หลายข้อหา เช่น
1. ฐานบุกรุก มาตรา 362 และ 364 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำและปรับ
มาตรา 365 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ
2. ฐานแจ้งความเท็จ มาตรา 137 จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำและปรับ
มาตรา 172 จำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับมาตรา 174 จำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
3. ฐานเบิกความเท็จ มาตรา 177 จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นหรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ฐานฉ้อโกง มาตรา 341 จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (คือโดยทุจริต
รู้อยู่ว่าตนไม่มีอำนาจจับ แต่ได้หลอกลวงว่าตนมีอำนาจเช่นว่านั้น และการหลอกลวงนี้ทำให้ได้เงินจากเราไป ก็จะผิดฐานฉ้อโกงนี้)
5. ฐานกรรโชกทรัพย์ มาตรา 337 คือถ้ามีการบังคับข่มขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือบุคคลที่สาม จนยอมเช่นว่านั้น มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่น ถ้าการกรรโชกทำโดยขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายฯ หรือมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปีและปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท จะผิดข้อหาใด ฐานใดต้องดูข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะพิจารณาและหาพยานหลักฐานที่บอกว่าควรจะต้องตรวจสอบก่อนนั้นว่ามั่วมาหรือไม่----
กรณีนี้ ตัวแทนนำจับรู้ตัวมันอยู่แต่แรกแล้วว่าตัวเองมีสิทธิหรือไม่ เป็นการกระทำโดยเจตนาชัดเจน
หน้าที่ในการตรวจสอบเป็นของตำรวจ ก่อนรับแจ้งความต้องตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดว่าผู้แจ้งมีอำนาจแจ้งหรือไม่ ใครเป็นผู้รับมอบอำนาจ ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ต้องมีเอกสารชัดเจนจึงจะรับแจ้งความได้
ถ้าตำรวจบกพร่องละเลยไม่ตรวจสอบแล้วรับแจ้งความ ถ้าปรากฏภายหลังว่าการแจ้งความไม่ถูกต้อง ไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจจริง ตำรวจจะมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เราสามารถเอาผิดได้ทั้งตัวแทนนำจับและตำรวจครับ ถ้าตัวแทนมั่วมาแต่ถ้าเขามีสิทธิจริง เราก็ค่อยมาดูถึงวิธีการค้นและจับว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถ้าวิธีการค้นและจับไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราก็สามารถเอาผิดกับพวกมันและตำรวจที่มาส่ง ได้เช่นกัน
"แต่มีข้อเน้นย้ำนะครับ เน้นย้ำ ที่บอกว่า จับไม่ชอบนั้น ผมอยากจะบอกว่า
ถึงแม้ว่า การจับถึงจะไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้ทำให้การสอบสวนนั้นไม่ชอบไปด้วย "
อันนี้คุณ พูดหลอกลวงได้สุดๆเลยครับ
ข้อพื้นฐานเลยครับ การเข้าจับโดยมิชอบ ค้นโดยมิชอบนั้น หลักฐานที่ได้มาทั้งหมดจะได้มาโดยมิชอบ - ศาลยกฟ้องครับ
..............................
Cr:PANTIP.COM

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

How Would Americans Feel?


How Would Americans Feel?
By: Michael Yon
..............................................
How Would Americans Feel?
How would Americans feel if countries who do not understand our problems insert themselves as our moral superiors? As if they understand our problems better than we do? As if we are children in need of their guidance, even while their own country is in dire straights?
How would Americans feel if foreign countries sent Ambassadors and 
representatives who took sides in struggles they do not understand -- that they arrogantly think they understand -- to support their bests interests, at the expense of the United States?
How would Americans feel if foreign countries constantly inserted themselves into our internal affairs? Affairs that they pretend to understand, as if everything is Black and White. Police and Oppressed. Good and Evil.
And their interference comes not just through press release. They actually send people to places like Ferguson, Missouri, to insert themselves. How would we react?
Everything looks so clear from a distance, doesn't it? That bad military coup in Thailand -- the coup that ended serious violence. The US supports coups around the world, and has for generations. The US supports Saudi Arabia -- our so-called leaders fawn over Saudi Arabia and its vast wealth that it spreads liberally to buy power.
How would Americans feel if Thailand had its Ambassador running around supporting forces that call for violence in America? Our previous Ambassador to Thailand, Kristie Kenney, did just that.
Meanwhile, Saudi Arabia is the birthplace of nearly all the 9/11 attackers. We responded to 9/11 by attacking Iraq, and the Taliban in Afghanistan and Pakistan.
As of last week, the White House no longer considers the Taliban to be a terrorist organization, despite that Taliban murdered Americans last week.
How would Americans feel if Canada or Germany took the side of the strong-armed robber who attacked a policeman in Ferguson, Missouri, and they took that side only because the thug was black, while pretending they understand American issues?
How would Americans feel if the United Kingdom donated $25 million per year for a legal defense fund for any minority in America who claims to have been abused by the police? We would be on the verge of conflict with our old time pal the UK if they dared such meddling. Right?
We, the USA, have not offered such a defense fund in Thailand, but we have done something even bigger. The USA is providing political cover to terrorists who have caused at least two thousand casualties in Thailand.
Think about it. Now is the time to stop meddling in Thailand.
The USA should clean up its own house before forcing the vacuum on neighbors:
...................................................
เราชาวอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร หากมีประเทศอื่น ที่ไม่เข้าใจปัญหาของพวกเรา แทรกตัวเข้ามาอย่างผู้ที่มีศีลธรรมจรรยาสูงส่งกว่า? ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจปัญหาของพวกเรา ได้ดีกว่าที่พวกเราเข้าใจ? ราวกับว่า พวกเรานั้นเป็นเด็ก ที่ต้องมีผู้ชี้นำ แม้กระทั่งในขณะที่ประเทศ ของพวกเรากำลังก้าวไปสู่หายนะ?
เราชาวอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร หากต่างชาติส่ง ออท. และผู้แทน ที่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ในเหตุความขัดแย้ง ที่พวกเขาไม่เข้าใจ — ซึ่งพวกเขาคิดอย่างยะโสว่า พวกเขาเข้าใจ — เพื่อสนับสนุน สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ต่อพวกเขามากที่สุด แล้วสหรัฐฯเองต้องจ่าย?
เราชาวอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร หากต่างชาติ คอยเข้ามาแทรกแซง ในเรื่องราวภายใน อย่างไม่หยุดหย่อน? เรื่องราวภายในประเทศ ที่พวกเขาแกล้งทำเป็นว่าเข้าใจ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน แบบขาวและดำ ตำรวจและผู้ร้าย ดีและชั่ว และการแทรกแทรงของพวกเขา ก็กระทำผ่านการแถลงข่าว พวกเขาได้ส่งคนไปที่ Ferguson รัฐมิซซูรี่ พาตัวเองเข้าไปแทรกแซง ที่นั่น แล้วพวกเรา จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ทุกสิ่งทุกอย่างมองออก ได้อย่างชัดเจนจากภายนอก ใช่หรือไม่? ว่า การรัฐประหารในประเทศไทยนั้น มันเป็นสิ่งเลวร้าย — การรัฐประหารที่ต้องใช้วิธีการ ปราบปรามขั้นรุนแรง สหรัฐฯเอง #ก็ได้สนับสนุนการทำรัฐประหารไปทั่วโลก และ #ทำมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว สหรัฐฯสนับสนุนซาอุดิอาระเบีย — แล้ว ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ ของพวกเราบินไปบินไปที่ซาอุดิอาระเบีย และ เงินอันมหาศาล ของซาอุฯก็สะพัดไปทั่ว เพื่อซื้ออำนาจ
เราชาวอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร หากประเทศไทย มีเอกอัครราชทูตเดินทางไปทั่ว เพื่อสนับสนุนกองกำลังที่สร้าง ความรุนแรงในอเมริกา? เอกอัครราชทูต ประจำประเทศไทย คนที่แล้ว ได้ทำแบบนั้น
ในขณะที่ กลุ่มคนที่ก่อการโจมตี ในเหตุการณ์ 9/11 ส่วนใหญ่นั้นเกิดที่ ประเทศซาอุฯ เราโต้ตอบเหตุการณ์ 9/11 ด้วยการโจมตีประเทศอิรัก และ ตาลีบันที่อยู่ในอัฟกานิสถาน และในปากีสถาน
และในสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง ที่ทำเนียบขาว พิจารณาว่า ตาลีบันนั้นไม่ใช่ องค์กรก่อการร้ายอีกต่อไป ทั้งๆที่ตาลีบัน ก็เพิ่งสังหารชาวอเมริกัน ในสัปดาห์ที่แล้ว
เราชาวอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร หาก แคนนาดา หรือ เยอรมัน เข้าข้างโจร ที่ถืออาวุธที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ใน Ferguson รัฐมิซซูรี่ และ พวกเขาเข้าข้างเพียง ก็เพราะว่าพวกผู้ร้ายนั้นเป็น ชาวผิวดำ ขณะเดียวกัน ก็แสร้งว่าพวกเขาเข้าใจ เรื่องราวของอเมริกา
เราชาวอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร หากสหราชอาณาจักร ให้เงินช่วยเหลือปีละ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับกองทุนช่วยทางด้านกฎหมาย ของชนกลุ่มน้อย ที่ในอเมริกา ที่อ้างว่าถูกตำรวจทำร้าย และไม่ได้รับความเป็นธรรม? พวกเราแทบใจผิดใจ กับเพื่อนซี้ที่รักกันมายาวนาน อย่างสหราชอาณาจักรเลย หากพวกเขากล้า ที่จะยื่นมือเข้ามายุ่ง ใช่หรือไม่?
พวกเรา สหรัฐอเมริกา ไม่ควรจะสนับสนุนเงินทุน ให้กับฝ่ายต่อต้านในประเทศไทยเลย แต่ พวกเรากลับทำอะไรที่ใหญ่ มากกว่านั้น สหรัฐฯให้การคุ้มครอง ทางการเมืองต่อ พวกก่อการร้าย ผู้ที่ทำให้คนไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 2,000 ราย
คิดดูว่า ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ จะหยุดแทรกแซงประเทศไทย
สหรัฐฯควรจะดูแลทำความสะอาด านของตัวเอง ก่อนที่จะไปบังคับให้คนอื่นทำ

ขนส่งสาธารณะแย่ จนติดอันดับโลก!


ผมคนหนึ่งละครับที่ไม่เสียดายเงินที่จะขึ้นรถโดยสาร แต่ที่เสียดายก็คือ การบริการที่ทำให้เสียความรู้สึกครับ โดยเฉพาะรถร้อน และยิ่งเป็นรถร่วมยิ่งไปใหญ่ครับ ทั้งสะภาพรถ ทั้งการให้บริการ จนหลายครั้งผมแทบอยากลงจากรถทั้งที่ยังไม่ถึงที่
ฝากถึงรัฐบาลครับ ถ้าจะขึ้นค่าโดยสารนะขึ้นได้ครับ แต่จะต้องปฏิรูบระบบขนส่งมวลชนใหม่ทั้งระบบก่อนครับ ผมรับรองว่าไม่มีใครค้านแน่
..........................................................
ขนส่งสาธารณะแย่ จนติดอันดับโลก!

คนเดินทางในยุคปัจจุบันนี้ยินดีที่จะใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ หากรถเหล่านั้นมีประสิทธิภาพมากพอ แต่เนื่องด้วยขนส่งสาธารณะในบ้านเรามันแย่ คนส่วนมากเลยแก้ปัญหาโดยการใช้รถส่วนตัว ประเทศไทยจึงขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่รถติดมาก และมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นสูงติดอันดับโลก เป็นผลสะท้อนจากการที่บ้านเรามีขนส่งสาธารณะที่ไม่ดี
“ถ้าเรามองในระดับประเทศ รัฐต้องมองว่าอันนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ผิด ก็คือว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความบกพร่องของการไม่มีประสิทธิภาพของขนส่งสาธารณะนั้น แล้วมาถูกแก้ปัญหาโดยการให้ชาวบ้านมาแก้ปัญหาเองโดยการที่ให้เขาใช้รถส่วนตัวขับ เพราะถ้าเราพูดถึงการสูญเสียในเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงหรือมลพิษที่เกิดขึ้น หรือปริมาณรถที่มันเยอะจนเต็มท้องถนนที่ทำให้เกิดการจราจรติดขัด
แล้วก็ยิ่งเป็นงูกินหางที่ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงถูกบริโภคที่มากขึ้นด้วย อุปสงค์มากกว่าอุปทานราคามันก็แพงขึ้น อันนี้ถือว่าเป็นวิธีคิดและวิธีแก้ปัญหาที่ผิดพลาดมาโดยตลอด แล้วมันก็ส่งผลกระทบแบบเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ก็คือว่าอุบัติเหตุสูงมาก การจราจรที่ติดขัด ประเทศไทยก็ติดอันดับโลกมันเป็นเรื่องที่ควรแล้วที่หันกลับมาแก้ปัญหา”
ส่วนการที่ผู้ประกอบการออกมาเรียกร้องขอขึ้นราคาค่าโดยสาร เพราะแก๊สเอ็นจีวีขึ้นนั้น เธอมองว่ามันคือระบบการแข่งขันที่สูง อยากให้รัฐบาลจัดระบบให้ดีและปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด มากกว่าการที่ให้ยื่นข้อเรียกร้องและให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้องไปเสียทุกอย่าง
“คิดว่าในปัจจุบันราคาขึ้นอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ แล้วก็ควบคุมจำนวนรถดู ในการบริหารจัดการ ควบคุมในเรื่องของประสิทธิภาพด้วยและรัฐก็เข้ามามีเป็นกลไก ที่คอยสมดุลกลไกตลาดเพราะมันเป็นขนส่งสาธารณะมันเป็นเรื่องของสาธารณูปโภค อย่าปล่อยให้กลไกการตลาดมาทำงานอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นขนส่งมวลชนประเภทที่เป็นขนส่งสัมปทาน คิดว่าเราปล่อยปละละเลยขนส่งสาธาณะมากเกินพอแล้วค่ะ”

http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx?NewsID=9580000013590
....................................................
จากบางความคิดเห็น

คิดว่าทุกท่านทราบที่ว่า รถเมล์ไทยจะขึ้นราคาอีกแล้ว จากเดิมที่รถร่วมบริการขึ้นมา 50 สต.(รถร้อน) กับ 1 บาท (รถแอร์) ส่วนรถ ขสมก. ก็มีกระแสข่าวจะขึ้นในเดือนมีนาคม (ล่าสุด รมต. คมนาคม ระงับไปแล้ว)
ก็คิดว่าทุกท่านทราบว่า ก่อนหน้านี้ ที่น้ำมันขึ้น ได้มีการปรับราคามาครั้งนึงแล้ว รถร่วมธรรมดาจาก 7 บาทเป็น 8 บาท รถขสมก. 6 บาท เป็น 7 บาท แต่พอน้ำมันรถ ราคาก็มิได้ปรับลดลงแต่อย่างใด พอน้ำมันขึ้นอีก รถเมล์ก็ขึ้นราคาอีก ทั้งๆที่ผลกระทบมันไม่เยอะมาก เพราะรถเมล์บนท้องถนนทุกวันนี้ กว่า 30 % เป็นรถที่ติดตั้ง ก๊าซ NGV
นอกจากปัญหาราคาน้ำมันแล้ว การติดตั้งก๊าซ NGV ในรถเมล์ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ ผอ.ขสมก. บอกว่าจำเป็นต้องปรับขึ้นราคา เพราะค่าเปลี่ยนเครื่อง และที่สำคัญคือ ล่าสุด ได้มีการ "ล๊อกสเปก" รถร่วมว่าจะต้อง"ติด NGV" ทุกคันอีกด้วย ทั้งๆที่เหตุผลข้อนี้ ในความคิดเห็นของผม มันไม่ได้เป็นสาระสำคัญในสัญญาการเดินรถเลยครับสู้ไปแก้ปัญหาพวกรถเสริมสนั่นเมือง และก็พวกวิ่งไม่ค่อยจะเต็มเส้นทางอย่าง 39 547 189 ปอ.84 มันคงจะดีกว่านี้นะครับ
ส่วนข่าวล่าสุดที่ว่า ทาง ขสมก. จะให้เปลี่ยนสีรถใหม่ โดยรถทุกคัน "จะต้องเป็นรถที่ประกอบใหม่ หรือปรับปรุงตัวถัง และที่สำคัญต้องติดก๊าซ NGV" จะมีคาดสีตามระยะเวลาในสัญญา(มันจำเป็นมั้ย) ซึ่งรถร้อน จะเป็นสี ชมพูคาดสี รถแอร์จะเป็นสีเหลืองคาดสี และรถมินิบัสจะเป็นสีส้มคาดสี จริงๆแล้วผมเห็นว่ามันไม่ได้เป็นสาระสำคัญในการเดินรถอีกแหล่ะครับ จะดีแค่ไหน หากรถเน่าอย่าง 147 ย้อมเป็นสีชมพู ทั้งๆที่ภายในรถไม่ได้มีอะไรดีเลย รถมินิบัสจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม แต่พนักงานประจำรถยังคงมีกริยาที่ไม่เหมาะสมกับผู้โดยสาร ผมคิดว่า "การแก้ปัญหาภาพลักษณ์ของ ขสมก. (ที่มันมีการโกงกินมากมายมหาศาล) เนี่ย ควรจะแก้ที่ตัวบุคลากร มากกว่าการเปลี่ยนสีรถ" นะ
ผมคิดว่าผู้โดยสารอีกหลายๆคนก็เหมือนกับผมแหละ ไม่ได้มีความต้องการรถ NGV หรือรถใหม่อะไรมากมาย แต่ต้องการเพียงแค่ว่า สภาพรถไม่แย่จนกลายเป็นซากรถ มีการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่ดี ถึงจะเก่าแต่ไม่โทรม และพนักงานประจำรถบริการผู้โดยสารดี มีกริยาสุภาพ แค่นั้น ผู้โดยสารทุกคนก็คงจะพอใจแล้วล่ะครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=212858